กรมอนามัยแนะ ดูแลสุขภาพและทานอาหารด้วยสูตร 2:1:1
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยสุขภาพของคนไทยหลังกินเลี้ยงฉลองปีใหม่ แนะฟื้นฟูร่างกายและคุมน้ำหนัก ด้วยหลักการกินอาหารสูตร 2:1:1 ลดหวาน มัน เค็ม เน้นผักผลไม้สดที่มีรสหวานน้อย พร้อมออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี
นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ ประชาชนยังคงจัดงานพบปะสังสรรค์และกินอาหารปริมาณมาก ทั้งในงานเลี้ยงฉลอง อาหารของฝาก กระเช้าของขวัญปีใหม่ ที่มักประกอบไปด้วยเค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลต ขนมหวาน อาหารทอด อาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มสำเร็จรูปต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานมาก
ซึ่งเมื่อกินเข้าไปในปริมาณมาก จะส่งผลให้น้ำหนักเพิ่ม ไขมันในเลือดสูง เสี่ยงการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง อาทิ โรคอ้วน โรคความดันโลหิต และโรคเบาหวาน ประชาชนจึงต้องดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเผาผลาญพลังงานส่วนเกินออกไปอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ๆ ละ 30 นาที นอกจากนี้ ควรควบคุมน้ำหนักของตนเองด้วยการใช้แบบจำลองอาหารหรือที่รู้จักกันคือ เมนู 2:1:1 โดยแบ่งจานอาหารออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน สองส่วนแรกเป็นผักสดชนิดต่างๆ หรือผักสุกมากกว่า 2 ชนิด ขึ้นไป อีกส่วนหนึ่งเป็นข้าว แป้ง ควรเลือกที่ไม่ขัดสี และส่วนสุดท้ายเป็นประเภทโปรตีน เน้นปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
"หากต้องการให้ระบบต่างๆ ในร่างกาย ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ควรกินผลไม้สดที่ไม่หวานมาก 1 จานเล็กร่วมด้วย เพื่อเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร งดผลไม้แปรรูป เช่น กวน แช่อิ่ม ทอดกรอบ อบแห้ง และดอง เน้นผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะแม้ผลไม้ให้กากใยในปริมาณมาก แต่บางชนิดมีน้ำตาลสูง จะทำให้ได้รับพลังงานจากการกินมากกว่าที่ใช้พลังงานไปจนเกิดการสะสมเป็นไขมันส่วนเกินในร่างกาย
ส่วนผักควรเป็นผักสดจะดีกว่าปรุงสุก เนื่องจากผักปรุงสุกบางชนิดทำให้สูญเสียวิตามินไปบางส่วน แต่หากเลือกกินผักสดต้องล้างให้สะอาดตามขั้นตอนการล้าง หรือเลือกปรุงสุกด้วยวิธีลวก นึ่ง ต้ม แต่หากเลือกปรุงโดยการผัดควรเลือกใช้น้ำมันพืชในการปรุง ปริมาณน้ำมันไม่เกิน 2 ช้อนชาต่อมื้อ เลือกดื่มนมจืด
หากมีภาวะไขมันในเลือดสูงเลือกสูตรพร่องมันเนย หรือปราศจากมันเนย เลือกกินตามหลักเมนู 2:1:1 ไม่ลืมกินผลไม้หวานน้อย ดื่มนมรสจืด ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8 แก้ว และที่สำคัญ ต้องลด หวาน มัน เค็ม” รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าวในที่สุด
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดย Porraphat Jutrakul ขอขอบคุณที่มาจาก : ศูนย์สื่อสารสาธารณะ กรมอนามัย
