10 อาหารอันตราย ไม่มีประโยชน์ กินแล้วมีแต่จะทำให้ร่างกาย “ย่ำแย่”
advertisement
อาหารหลายๆ อย่างที่เรารับประทานอยู่ทุกๆ วันนั้น ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกกินด้วยรสชาติความอร่อย รูปแบบสีสัน หลายครั้งที่เรามักจะลืมนึกถึงคุณค่าสารอาหาร และประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ นอกจากนั้นอาหารบางอย่างแทนที่กินแล้วจะให้ประโยชน์กลับให้โทษต่อร่างกายได้ ตั้งแต่ภาวะขาดสารอาหาร โรคอ้วน หรืออันตรายร้ายแรงถึงขั้นมะเร็งได้ ดังนั้นเรื่องของอาหารการกินจึงเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจให้มากขึ้นนะคะ นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว เราก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้โทษด้วย อะไรบ้างนั้น ตาม Kaijeaw.com มาดูกันค่ะ
advertisement
อันตรายของอาหารมักเกิดจากสารเจือปนในอาหาร
สารเจือปนในอาหาร คือ สารที่ผสมอยู่ในอาหารได้จากการเติมลงไปในขณะปรุงแต่งอาหารและได้จากธรรมชาติ เป็นสารที่ทำให้เกิดกลิ่น สี รส ใช้ปรุงอาหาร บางชนิดมีคุณค่า บางชนิดทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย อาหารที่เรารับประทานในแต่ละมื้อ นอกจากจะมีส่วนประกอบของอาหารเป็น เนื้อสัตว์ หมู เนื้อ ปลา ไก่ และผักต่างๆ แล้ว ขั้นตอนการปรุงอาหารยังนิยมสารต่างๆ ลงไปอีกด้วย บางอย่างก็ใส่ลงไปเพื่อให้มีรสชาติดีหรืออร่อยขึ้น บางอย่างใส่ลงไปเพื่อความมุ่งหมายอย่างอื่น เช่น ไม่ให้อาหารบูดหรือเน่าเสีย ช่วยให้อาหารกรอบ และให้มองดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น เป็นต้น สารต่างๆ ที่ใส่ลงไปในอาหาร ขณะปรุงอาหารเหล่านี้ถือว่าเป็นสารปรุงแต่งอาหารหรือสารเจือปนในอาหารทั้งสิ้น ทำให้มีสี กลิ่นรส ชวนรับประทาน
สี ที่ใช้ปรุงแต่งอาหารได้จากธรรมชาติ เช่น สีจากใบเตย กะลามะพร้าว ดอกอัญชัญ เป็นต้น ซึ่งสีเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเป็นสีสังเคราะห์อาจจะมีอันตราย เพราะบางชนิดอาจจะมีสารพิษผสมอยู่ เช่น สารตะกั่ว
กลิ่น ที่ควรได้รับ ต้องมาจากการสกัดน้ำมันหอมระเหยจากพืช สัตว์ เช่น กลิ่นใบเตย กลิ่นแมงดา กลิ่นมะลิ กลิ่นกุหลาบ กลิ่นส้ม เป็นต้น ที่ควรหลีกเลี่ยงคือการสังเคราะห์กลิ่นจากเคมี
รสชาติอาหาร ได้จากการใส่สารที่ช่วยปรุงแต่งรสอาหาร เช่น ผงชูรส ซึ่งไม่มีคุณค่าต่อร่างกายจึงควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เป็นต้น
สารบางอย่างในอาหารก็ไม่มีโทษต่อร่างกาย แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ และบางอย่างก็เป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้ารับประทานมากเกินไปหรือบ่อยครั้งมากเกินไปก็ให้โทษ ดังนั้น Kaijeaw.com ขอแนะนำอาหารที่เราควรหลีกเลี่ยง ได้แก่[ads]
advertisement
1. ไข่เยี่ยวม้า
ในไข่เยี่ยวม้า ปกติถ้าเราบริโภคไข่เยี่ยวม้า ที่มีกรรมวิธีแบบธรรมชาติก็จะไม่เกิดอันตราย ทว่าในปัจจุบันนี้บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามักหัวใสเติมสารตะกั่วออกไซด์ หรือซัลไฟด์ลงในส่วนผสมที่ใช้พอกหรือแช่ เพื่อช่วยให้การเป็นไข่เยี่ยวม้า เกิดผลได้สูง ซึ่งอาจทำให้ไข่เยี่ยวม้าที่ผลิตมีสารตะกั่วปนเปื้อนได้ ซึ่งมีการตรวจพบการปนเปื้อนนี้บ่อย หากผู้บริโภครับประทานไข่เยี่ยวม้าดังกล่าวเข้าไปก็อาจเกิดอันตราย เพราะ ตะกั่วเป็นสารพิษที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ถ้ารับประทานอาหารและดื่มน้ำที่มีตะกั่วปนเปื้อน เข้าสู่ร่างกายจะมีผลโดยตรงต่อเซลล์ไขกระดูก ระบบประสาท ระบบไต ผู้ป่วยมักมีอาการท้องผูก ถ้าได้รับตะกั่วมากๆ กล้ามเนื้อกระดูก ข้อมือ ข้อเท้าอาจเป็นอัมพาต สมองบวม ชักและอาจถึงชีวิตได้ อาการเกิดพิษดังกล่าวใช้เวลานานนับเดือนจึงจะแสดงอาการ
advertisement
2. ปาท่องโก๋
เป็นของทอด ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ ด้วยน้ำมันที่ทอดจะมีความร้อนอยู่ตลอดเวลานานนับหลายชั่วโมง และถ้าทอดโดยไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเลย ก็ยิ่งจะก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อร่างกายได้ การรับประทานปาท่องโก๋มากๆ นอกจากนั้นแล้วยังทำให้เกิดไขมันส่วนเกินสะสม จนอ้วนได้ มีอาการคอแห้ง และเจ็บคอ เป็นอาหารที่ย่อยยากอาจเกิดปัญหากรดไหลย้อนได้ นอกจากนั้น หากเกิดไปกินปาท่องโก๋ ที่มีการใช้สารส้มในขั้นตอนการทำแป้ง ก็จะมีสารตะกั่ว อันมีผลต่อสมองทำให้ความจำเสื่อมได้
advertisement
3. ใส้กรอก และเนื้อสัตว์แปรรูปอื่นๆ
เพราะอาหารเหล่านี้ นอกจากจะเป็นเนื้อผสมแป้งที่ผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้สารสังเคราะห์ในปริมาณสูง รวมทั้งมีผงชูรส เกลือ ที่สำคัญในขั้นตอนการแยกเนื้อและไขมันนั้นต้องผลิตภายใต้ความร้อนและความดันที่สูงมาก ทำให้สารอาหารที่มีประโยชน์สูญเสียไปเยอะจนแทบไม่เหลืออะไรเลย ในฮอตดอกนั้นมีสารไนเตรตที่เป็นสารก่อมะเร็ง องค์กรป้องกันมะเร็งในต่างประเทศแนะนำว่า เด็กไม่ควรบริโภคฮอตดอกมากกว่า 12 ชิ้นต่อเดือน นั่นรวมถึงเนื้อสัตว์แปรรูปอื่นต่างๆ เช่น แฮม เบคอน กุนเชียง ไส้กรอกชนิดต่างๆ เพราะไม่เพียงจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ หากแต่ไขมันอิ่มตัวในอาหารเหล่านั้นยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย ถ้าอยากรับประทานจริงๆ ให้เลือกอาหารชนิดที่ไม่มีโซเดียมไนเตรต หรือสามารถทำทานเองได้
advertisement
4. ผักและผลไม้ดองทุกประเภท
ในปัจจุบันอาหารดองต่างๆ นั้นกลายมาเป็นอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้บางครั้งมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสใส่สารเคมีที่เป็นอันตรายผสมเข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติ หรือทำให้หน้าตาดูน่ากิน หรือบางครั้งก็ใส่เพื่อยืดอายุอาหารให้อยู่นานมากขึ้นไปอีก พบสารเคมีหรือสารมีพิษต่างๆ ที่เคยมีการตรวจพบตามท้องตลาด อาทิ ในผลไม้ดอง-ผลไม้แช่อิ่ม พบ สารซัคคาริน หรือ ขัณฑสกร ในปริมาณมากเกินกว่าที่กำหนด โดยสารซัคคารินเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 300 เท่า ผู้ใช้ต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เพราะสารซัคคารินเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหลายประเทศมีการออกประกาศห้ามใช้แล้ว ส่วนในหน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ก็เคยตรวจพบสารกันเชื้อรา หรือสารกันบูด หากบริโภคเข้าไปมากจะไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ ความดันโลหิตต่ำจนเกิดอาการช็อค บางรายอาจเกิดอาหารแพ้ เป็นผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน หูอื้อ หรือมีไข้ และอาการดองทุกชนิดก็มีเกลือโซเดียมจำนวนสูงมาก เมื่อรับประทานในปริมาณมาก จะทำให้หัวใจทำงานหนัก ความดันสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้
advertisement
5. อาหารประเภทปิ้งย่าง
อาหารประเภทปิ้งย่างนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำพวกเนื้อแดง เนื้อสัตว์ใหญ่ที่มีไขมันแทรก เมื่อมีการปิ้งหรือย่าง จะทำให้เกิดสารเบนโซไพริน ซึ่งอยู่ในรอยคล้ำรอยไหม้ของเนื้อสัตว์นั่นเอง และมีผลการวิจัยแล้วว่า อาจเป็นตัวหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ถ้าอยากรับประทานจริงๆ ก็หลีกเลี่ยงประเภทที่ปิ้งย่างสุกมากจนไหม้เกรียม รวมทั้งประเภทที่กึ่งสุกกึ่งดิบด้วย
advertisement
6. น้ำอัดลม
มีปริมาณน้ำตาลสูงมากๆ ให้พลังงานสูง และแม้ชนิดที่มีแคลอรี่เท่ากับศูนย์ แต่ก็ไม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแม้แต่น้อย อีกทั้งแก็สที่ให้รสชาติซาบซ่า แก๊สที่อัดเข้าไปนั้นมันคือ “กรดคาร์บอนิก” และยังมีสารเคมีที่เป็นอันตรายมากกว่า นั่นก็คือ “กรดกำมะถัน” อันเป็นกรดชนิดที่สามารถละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน ! และยังเป็นสาเหตุของโรคอ้วนอีกด้วย เพราะหากมันสะสมในร่างกายเป็นจำนวนมากแล้ว มันจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณขึ้นสูงและลดได้ยาก อีกทั้งน้ำอัดลมยังมีน้ำโซดาเป็นส่วนผสมที่ยิ่งสร้างผลเสียกับร่างกาย เพราะมันจะเข้าไปชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และสีที่ผสมอยู่ในน้ำอัดลมก็ยังเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายอีกด้วย
7. ขนมขบเคี้ยว
ขนมประเภทนี้จะให้พลังงานและไขมันสูงมาก มีส่วนประกอบอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น แป้ง เกลือ ผงชูรส น้ำมัน น้ำตาล และเนย กินแล้วอิ่มจึงทำให้ไม่รู้สึกอยากอาหารอื่นๆ เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารใดๆ ที่มีประโยชน์อื่นๆ ร่างกายก็จะไม่สมบูรณ์หรือเจริญเติบโตเท่าที่ควร โดยเฉพาะในเด็กที่ชอบกินขนมขบเคี้ยวเป็นประจำ เมื่อกินเข้าไปมากๆ พวกเขาก็จะเบื่ออาหารจนกลายเป็นเด็กขาดสารอาหาร บางรายกลายเป็นเด็กอ้วน เป็นโรคฟันผุ เพราะได้รับแป้งและน้ำตาลมากจนเกินไป และยังมีเกลือที่จะส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของตับและไตจนผิดปกติ และเกิดโรคมะเร็งในตับและไตได้[ads]
advertisement
8. แฮมเบอร์เกอร์
แฮมเบอร์เกอร์นั้นอาจปนเปื้อนไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในระหว่างขบวนการทำ (รอเพื่อที่จะนำเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมาปรุงแต่งรสชาติ) ทำให้เกิดการเน่าเสีย ผู้ผลิตบางรายจึงนิยมใช้สารเคมีบางชนิดเข้ามาช่วยในการกำจัดกลิ่นและสีที่จะเปลี่ยนไปของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ และมีการปรุงรสชาติด้วย “ผงชูรส” สารเคมีที่มีอยู่ในผงชูรสจะทำให้คุณวิงเวียนศีรษะ คอแห้ง เกิดอาการแพ้ และเป็นสาเหตุทำให้คุณอ้วนได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นบ่อเกิดของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งในเวลาต่อมาได้
9. เฟรนช์ฟรายด์
โดยปกติแล้วมันฝรั่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ต้องทำให้สุกด้วยวิธีการต้มหรือนึ่ง แต่เฟรนช์ฟรายด์นั้นเป็นมันฝรั่งทอด การทอดที่ใช้ต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้คุณอ้วนได้ไม่ยากนัก และการทอดมันฝรั่งนั้นจะต้องใช้ความร้อนสูง และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงแล้ว สารเคมีที่ชื่อว่า อะคริลิไมด์ ก็จะปรากกฎตัวออกมา ซึ่งเจ้าสารนี้มันเป็นสารก่อมะเร็ง อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำไปมาตลอดวัน จะทำให้เกิดการออกซิไดส์ และทำให้เกิดสารปนเปื้อนในมันฝรั่งทอดเป็นสารก่อมะเร็งในที่สุด
advertisement
10. โดนัท
เป็นอาหารที่เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงเป็นเท่าตัว เพราะโดนัททำจากแป้งสาลี น้ำตาล สีแต่งอาหาร ซึ่งไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเลย ที่สำคัญน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน นำมาทอดในอุณหภูมิที่สูงมาก จึงเป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุด เพราะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งสูงมากๆ
เห็นกันแล้วใช่มั้ยคะ ว่าอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้น ไม่ใช่อาหารที่ไกลตัวกันเลย บางอย่างเราก็กินอยู่บ่อยๆ เกือบทุกวันเลยก็ว่าได้ รู้แบบนี้แล้วก็ควรเลี่ยงให้ไกลเลยนะคะ หลักการกินที่ดีต่อสุขภาพนั้น ง่ายๆ คือกินอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ เลือกจากแหล่งธรรมชาติ สด ใหม่ ปรุงอาหารกินเอง ส่วนอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพจำพวกที่ไข่เจียวได้กล่าวไปแล้วนั้น สามารถกินได้บ้างแต่น้อย ไม่ควรจะกินบ่อยๆ นะคะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com