กรมสุขภาพจิตเผย ‘อาการหลอน คลุ้มคลั่ง’ คืออาการป่วยโรคทางจิต ต้องพบแพทย์รักษาด่วน ใช้วิธีการไสยศาสตร์ไม่หาย
advertisement
กรมสุขภาพจิตเผยผู้ที่มีอาการหลอน คลุ้มคลั่ง ไม่ว่าจากยาเสพติด ยาลดความอ้วน เป็นอาการป่วยของโรคทางจิตเวชชัดเจน ไม่ใช่เกิดจากถูกเวทมนต์ ผีเข้าสิง ย้ำต้องพาผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลเป็นที่แรก หลังกินยาอาการจะดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ หากพาไปรักษาทางไสยศาสตร์ ผู้ป่วยจะไม่หายและอาการจะรุนแรงหนักขึ้น กรณีญาติต้องการพาไปรักษาตามความเชื่ออื่นๆ เพื่อเสริมด้านกำลังใจ สามารถทำได้หลังจากผู้ป่วยได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว แต่มีข้อควรระวัง
advertisement
นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวถึงกรณีมีข่าวประชาชนบางส่วน พาผู้ป่วยที่มีอาการหลอนจากยาเสพติด ยาลดความอ้วน บางรายมีอาการคลุ้มคลั่ง ญาติต้องล่ามโซ่และพาไปพึ่งการทำพิธีกรรมรักษาทางไสยศาสตร์ หรือรดน้ำมนต์จากผู้ที่อยู่นอกวงการแพทย์ว่า เรื่องนี้เป็นทั้งความเชื่อส่วนบุคคลและความเข้าใจผิด แม้ว่าขณะนี้การแพทย์จะเจริญก้าวหน้าก็ตาม แต่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ก็ยังมีปรากฎในสังคมไทย โดยเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดมาจากอำนาจเหนือธรรมชาติหรือผิดธรรมชาติ เมื่อเจ็บป่วยขึ้นก็มักจะแก้ปัญหาหรือบำบัดรักษาตามความเชื่อ ทั้งการรักษาด้วยน้ำมนต์ หมอพระ หมอผี คนทรง เป็นต้น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
advertisement
“ขอยืนยันว่า ผู้ที่มีอาการประสาทหลอน เช่น ได้ยินเสียงคนพูดขณะที่ไม่มีใครอยู่ใกล้เลย เห็นภาพแปลกๆ รู้สึกเหมือนมีแมลงไต่ตามร่างกาย หรือมีอาการคลุ้มคลั่ง เอะเอะเกรี้ยวกราด ทำร้ายคนใกลัตัว ยิ้มคนเดียว พูดพึมพรำเรื่อยเปื่อย เป็นอาการป่วยของโรคทางจิตเวชชัดเจน หรืออาจเป็นความผิดปกติในสมอง ทำให้บุคลิกภาพผู้ป่วยเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ทั้งด้านพฤติกรรม ความคิดและอารมณ์ ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ญาติเข้าใจผิดว่าถูกผีวิญญานเข้าสิง หรือถูกคุณไสย ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ป่วยทางจิตเวชเกิดจากหลายสาเหตุทั้งจากกรรมพันธุ์ ความกดดัน ความเครียด อุบัติเหตุทางสมอง และจากสารเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า เหล้า ทำให้การทำงานของสมองผิดปกติ ไม่ได้เกิดมาจากถูกคุณไสย เวทมนต์ ผีเข้าสิง แต่อย่างใด” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว
advertisement
อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อไปว่า ประเด็นเร่งด่วนสำคัญที่สุดและเป็นที่พึ่งแห่งแรกก็คือต้องพาผู้ป่วยไปรับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด หากพาไปรักษาด้วยพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ ผู้ป่วยจะไม่หายและจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงหนักขึ้นไปเรื่อยๆ โดยขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งสามารถให้การรักษาได้ มียาควบคุมอาการ หลังรักษาผู้ป่วยจะมีอาการสงบขึ้น ภาพหลอนหรือการคุ้มคลั่งจะหายไป การรับรู้ของผู้ป่วยจะกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง แต่การรักษาต้องใช้เวลาไม่ได้หายขาดทันทีเหมือนเป็นไข้ตัวร้อนทั่วไป โดยแพทย์จะให้กินยาต่อเนื่องเพื่อป้องกันอาการกำเริบซ้ำ พร้อมทั้งฟื้นฟูสมรรถภาพทางด้านกายจิตสังคมและวิญญาณ เพื่อผดุงรักษาระดับความสามารถเดิมของผู้ป่วยในการทำกิจกรรมภารกิจประจำวัน โดยพึ่งตนเองได้มากที่สุด ดำรงชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติสุข และนัดผู้ป่วยติดตามผลเป็นระยะๆ ไม่จำเป็นต้องล่ามโซ่ กักขังผู้ป่วยแต่อย่างใด และหลังจากผู้ป่วยอาการดีแล้ว ญาติสามารถพาไปรักษาตามความเชื่ออื่นได้ควบคู่กัน อาจให้ผลทางจิตวิทยาคือช่วยเสริมด้านขวัญกำลังใจทั้งญาติและผู้ป่วยได้ แต่ทั้งนี้ขอเน้นย้ำที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดคือต้องดูแลให้ผู้ป่วยกินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ทางด้านนายแพทย์กิตต์กวี โพธิ์โน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ จ.นครพนมกล่าวว่า เมื่อพาผู้ป่วยทางจิตเวชไปทำพิธีกรรมตามความเชื่อ มีข้อควรระมัดระวังดังนี้ 1.ให้หลีกเลี่ยงการไปรักษาด้วยวิธีการที่อาจเป็นอันตรายเช่นการใช้ของมีคมกับร่างกาย หรือทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ เช่น ใช้ไม้เฆี่ยนตีไล่วิญญาณ 2. การรับประทานยาหรือดื่มน้ำที่อาจจะไม่สะอาดและไม่ปลอดภัย
advertisement
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติสับสนไม่รู้เวลาสถานที่ ยิ่งต้องควรระวัง เนื่องจากอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในสมองหรือระบบประสาทเช่นมีเลือดคั่งในสมอง มีภาวะเกลือแร่ผิดปกติอย่างรุนแรง ซึ่งมีโอกาสเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีภาวะสับสนมึนงง คล้ายๆกับที่ชาวบ้านเข้าใจว่าถูกผีเข้าสิงหรือมีอาการเปลี่ยนเป็นคนละคน ขอแนะนำให้ญาติพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรค และดูแลรักษาจากแพทย์หรือจิตแพทย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข