กำลังเสือโคร่ง..แก้ฝี แก้ไอ ช่วยบำรุงโลหิต!!
advertisement
สมุนไพร "กำลังเสือโคร่ง" พืชที่พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไป ในป่าดงดิบแล้ง ป่าละเมาะ และป่าโปร่งทั่วไป หลายๆ คนอาจสงสัยของชื่อสมุนไพร เพราะมีอยู่หลายชนิดที่ชื่อคล้ายคลึงกัน แต่เป็นคนละชนิด คลละสายพันธุ์กัน แต่มีสรรพคุณคล้ายๆ กันในเรื่องของช่วยในการบำรุงกำลัง เช่น กำลังเสือโคร่ง หรือ กำลังพญาเสือโคร่ง หรือ พญาเสือโคร่งเป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 20-35 เมตร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betula alnoides Buch.-Ham. ex D.Don จัดอยู่ในวงศ์กำลังเสือโคร่ง (BETULACEAE) , กําลังเสือโคร่งชนิดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ziziphus attopensis Pierre จัดอยู่ในวงศ์พุทรา (RHAMNACEAE) ,นางพญาเสือโคร่งหรือ ซากุระเมืองไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prunus cerasoides จัดอยู่ในวงศ์กุหลาบ และกำลังเสือโคร่ง ที่ Kaijeaw.com จะพูดถึงกันในวันนี้ ซึ่งเป็นไม้พุ่มรอเลื้อย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos axillaris Colebr. และจัดอยู่ในวงศ์กันเกรา
ชื่ออื่นๆ ขวากไก่ หนามเข็ม (ชัยภูมิ) ขอเบ็ด (หนองคาย) ขี้แรด (ปราจีนบุรี) เขี้ยวงู (ชุมพร) ตึ่ง เครือดำตัวแม่ (ลำปาง)เบน เบนขอ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) เล็บครุฑ (จันทบุรี) เล็บรอก (พัทลุง) หมากตาไก้ (เลย)
กำลังเสือโคร่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Strychnos axillaris Colebr. มีชื่อพ้องว่า Strychnos chloropetala A.W. Hill., Strychnos plumosa A.W. Hill. จัดอยู่ในวงศ์
Strychnaceae (Loganaceae)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกำลังเสือโคร่ง [ads]
ต้น – เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้เถาขนาดใหญ่ ลำต้นสีเขียวอมเทาถึงน้ำตาล หรือน้ำตาลอมดำ กลมหรือเป็นเหลี่ยม ไม่มีช่องอากาศ มีหนามที่ง่ามใบ มือจับอันเดียว มีขน
ใบ – ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม แผ่นใบรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ถึงค่อนข้างกลม รูปใบหอก ถึงรูปไข่ กว้าง 1-5.8 เซนติเมตร ยาว 1.5-11 เซนติเมตร โคนใบแหลมถึงตัด หรือเว้าเล็กน้อยรูปหัวใจ ปลายใบแหลมหรือมน บาทีเป็นติ่ง หนาม แผ่นใบหนา เกลี้ยง หรือมีขนสั้นตามเส้นกลางใบ และตามโคนเส้นแขนงใบ มีเส้นตามยาวของใบ 3-5 เส้น เส้นกลางใบด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างนูน หูใบเป็นแนวนูน เกลี้ยง หรืออาจมีขน ก้านใบยาว 1-10 มิลลิเมตร
ดอก – ออกเป็นช่อกระจุกแยกแขนง ตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง ยาว 5-20 มิลลิเมตร ก้านช่อดอกสั้นมาก หรือยาวได้ถึง 9 มิลลิเมตร มีดอกจำนวนมาก ก้านดอกยาว 0-2.5 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่ถึงกลม ยาว 0.9-1.7 มิลลิเมตร ด้านนอกเกลี้ยงหรือมีขน ด้านในเกลี้ยง กลีบดอกสีเขียวถึงขาว มี 5 กลีบ ยาว 2.3-3.6 มิลลิเมตร โคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก หลอดยาวกว่าแฉกสองเท่า ด้านนอกเกลี้ยง มีขน หรือเป็นตุ่มๆ ด้านในมักจะมีขนเป็นวงอยู่ตรงปากหลอด นอกนั้นเกลี้ยง แฉกหนา เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดอยู่ใกล้ปากหลอดดอก ยื่นยาวออกมาพ้นปากหลอด ก้านเกสรยาว 0.2-0.6 มิลลิเมตร อับเรณูรูปไข่ ยาว 0.6-0.9 มิลลิเมตร มีขนแผง และมักจะมีติ่งแหลมอ่อน รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี 2 ช่อง แต่ละช่องมีไข่อ่อนจำนวนมาก ยอดเกสรเพศเมียเป็นตุ่ม
ผล – ผลทรงกลม หรือทรงรูปไข่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-1.5 เซนติเมตร สีเขียว สุกสีส้มหรือแดง เปลือกบาง เรียบ มี 1-2 เมล็ด [yengo]
สรรพคุณทางสมุนไพรของกำลังเสือโคร่ง
ราก – รักษาฝี แก้ริดสีดวงลำไส้
ลำต้น – ช่วยแก้อาการไอ แก้โลหิตเป็นพิษในการคลอดบุตร บาดทะยักปากมดลูก และสันนิบาตหน้าเพลิง แก้ปอดพิการ แก้ไอ ดับพิษในข้อในกระดูก เส้นเอ็น แก้พิษตานซาง ขับพยาธิในท้อง แก้กามโรค แก้เถาดานในท้อง แก่น บำรุงโลหิต ดับพิษไข้ แก้กระษัย ไตพิการ ปัสสาวะพิการ
ใบ – แก้โรคผิวหนัง และแก้อัมพาต เปลือกต้น แก่น และใบ รสเฝื่อน ต้มดื่มแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้เส้นเอ็นพิการ แก้กระษัย แก้เหน็บชา แก้เข้าข้อ
ผล – ใช้เป็นยาถ่ายสำหรับเด็ก
แก่น – ช่วยแก้ปัสสาวะพิการ ช่วยแก้ไตพิการ
วิธีการนำมาใช้
แก่น – มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต ใช้ต้มน้ำดื่ม สรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง
ลำต้น – ใช้ลำต้นผสมกับผลพริกไทย และหัวกระเทียม แล้วนำมาต้มดื่ม ช่วยบำรุงร่างกาย
1) ใช้รากตำพอกแก้ฝี
2) สรรพคุณช่วยแก้กระษัย หรือจะใช้เปลือกต้น แก่น และใบ นำมาต้มดื่ม
3) นำเปลือกต้น แก่น และใบนำมาต้มดื่ม ช่วยแก้เส้นเอ็นพิการ
4) ช่วยแก้เหน็บชา แก้เข้าข้อ โดยใช้เปลือกต้น แก่น และลำต้น นำมาต้มดื่มแก้อาการ
5) ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยใช้แก่นนำมาต้มเป็นน้ำดื่ม หรือจะใช้เปลือกต้น แก่น และใบ นำมาต้มดื่ม
สรรพคุณทางยาสมุนไพรพื้นบ้านของจังหวัดอุบลราชธานี ใช้แก่น ต้มน้ำดื่ม ช่วยบำรุงกำลัง แก้ปวดเมื่อย
มีการศึกษาพบสารสกัดใบแห้งด้วยแอลกอฮอล์ 95% ช่วยยับยั้งเชื้อหนองชนิด Staphylococcus aureus แต่ไม่มีผลต่อเชื้อหนองชนิด Bacillus subtilis และ Pseudomonas aeruginosa รวมทั้งเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของอาการตกขาวหรือฝ้าขาวในปากได้ (Candida albicans)
กำลังเสือโคร่ง เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณโดดเด่นในเรื่องของ ช่วยบำรุงกำลัง แก้ฝี แก้ไอ ช่วยบำรุงโลหิต และสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย เป็นที่รู้กันในหมู่หมอยาสมุนไพรโบราณ และชาวบ้านในพื้นที่จะนิยมนำมาใช้ ซึ่งหากว่าใครต้องการใช้สมุนไพรชนิดนี้ ก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ และอย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งนะคะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com