ขนมพ่นควัน..อันตรายต่อกระเพาะ!!
advertisement
นักวิทยาศาสตร์เตือนอันตรายขนม พ่นควันหากกินไม่ถูกวิธี เสี่ยงเนื้อเยื่อระบบทางเดินอาหารไหม้ กระเพาะทะลุ แนะต้องรอให้ควันของไนโตรเจนเหลวระเหยหมดไปก่อนแล้วจึงรับประทาน[ads]
advertisement
ปัจจุบันในธุรกิจอาหารมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ร่วมกับกระบวนการผลิตอาหารมากมาย ส่วนหนึ่งเพื่อเพิ่มความแปลกใหม่และดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ ล่าสุดจากการแชร์เรื่องราวทางสื่อออนไลน์ถึงการที่ร้านค้านำไนโตรเจนเหลวมาใช้ในการทำขนมเพิ่มอรรถรสในการกินด้วยการพ่นควัน พวยพุ่ง ออกอย่างสนุกสนาน แต่ก็มีกระแสข่าวที่บอกว่าเคยมีคนต่างชาติทานอาหารที่มีไนโตรเจนเหลวเข้าไปแล้วกระเพาะทะลุนั้น
นายวรวรงค์ รักเรืองเดช อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้ให้คำแนะนำถึงเรื่องดังกล่าวว่า การกินอาหารที่มีส่วนผสมของไนโตรเจนเหลว สิ่งสำคัญคือต้องรอให้ควันของไนโตรเจนเหลวระเหยหมดไปก่อนแล้ว โดยทั่วไปการนำไนโตรเจนเหลวมาใช้กับอาหารไม่มีอันตราย เพราะจะระเหยไปหมด ปัจจุบันนิยมนำมาใช้ในการถนอมอาหาร แต่การใช้กับอาหารนั้นต้องดูที่ความบริสุทธิ์ของไนโตรเจนเหลวที่ร้านค้านั้นเลือกซื้อมาใช้ เพราะมีหลายคุณภาพหลายราคา ไนโตรเจนเหลวที่บริสุทธิ์จริงๆ 99.99% จะมีราคาสูงและ ไม่มีสิ่งเจือปน แต่ถ้าเป็นไนโตรเจนเหลว 98% อาจจะมีสิ่งเจือปนอย่างอื่นที่ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายหรือไม่รวมอยู่ก็ได้
advertisement
นอกจากนั้น นายวรวรงค์ ยังได้เตือนผู้จำหน่ายและผู้บริโภคขนมในลักษณะดังกล่าวใน 2 ประเด็น คือ การสัมผัสโดยตรงกับ ไนโตรเจนเหลวในขณะที่ยังเป็นของเหลว และ การสูดดมก๊าซไนโตรเจนว่า ถ้าไนโตรเจนมา สัมผัสกับผิวหนังหรือเนื้อเยื่อภายในอวัยวะต่างๆ ในสถานะที่ยังเป็นของเหลวอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะทำให้ผิวหนังถูกเผาไหม้ คล้ายๆ กับการนำมือไปวางบนกระทะร้อนๆ ไนโตรเจนเหลวถ้าสัมผัสผิวหนัง หรือรับประทานเข้าไปในปริมาณมากๆ ในสถานะที่ยังเป็นของเหลวอยู่ ไนโตรเจนเหลว ก็ไม่สามารถระเหยหายไปได้ในทันที ทำให้ เกิดการเผาไหมบริเวณผิวหนังได้ เรียกว่า NitrogenBurn หรือการเผาไหม้จากไนโตรเจนเหลว[ads]
ส่วนการสูดดมควันระเหยไนโตรเจนปริมาณมากก็เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง แม้ว่าร่างกายเราสามารถรับไนโตรเจนในอากาศได้มากถึง 80% และออกซิเจน 20% เท่านั้น แต่หากสูดดมไนโตรเจนเข้าไปเพิ่มอีกอาจทำให้ขาดออกซิเจน หมดสติและเป็นอันตรายต่อสมองได้
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : thaihealth.or.th, saowalak pisitpaiboon, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ