คนใช้รถใช้ถนนควรทราบ!! ขับขี่รถอย่างไร?? ให้ปลอดภัย ขณะฝนตก-ถนนลื่น เพื่อลดอุบัติเหตุ!!

advertisement
เข้าสู่หน้าฝนแล้ว เป็นฤดูกาลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่สูงกว่าปกตินะคะ เพราะฝนตกทำให้ถนนเปียกลื่น มีน้ำท่วมขัง ยิ่งในช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ตกแรง หรือในช่วงกลางคืนด้วยแล้วล่ะก็ จะทำให้การขับขี่ยากยิ่งขึ้นอีก หากผู้ขับขี่ไม่ระวัง และขาดความเชี่ยวชาญในการขับขี่แล้ว ก็ยิ่งจะส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ จากการขับขี่บนท้องถนนมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ผู้ที่ขับขี่รถเป็นประจำไม่ควรพลาดค่ะ วันนี้ Kaijeaw.com มีข้อแนะนำในการขับขี่รถให้ปลอดภัยขณะฝนตก มาบอกกันค่ะ
advertisement

1. ตรวจสอบความพร้อมของรถยนต์ก่อนการขับขี่
– ระบบการปัดน้ำฝน น้ำฉีดกระจกควรเติมให้เต็ม หากพบรูหัวฉีดน้ำตันให้ใช้เข็มขนาดเล็กแหย่สวนทางเข้าไป ยางใบปัดน้ำฝน ควรหมั่นตรวจดูว่ายางหมดสภาพการใช้งานหรือยัง ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทุก 1 ปีควรเปลี่ยนใหม่
– ยางล้อรถ ความลึกของร่องยางหรือความสูงของดอกยาง มีผลต่อประสิทธิภาพของการรีดน้ำของยาง ยางที่ยังถูกรีดขึ้นมาจาหน้ายางแทรกตัวอยู่ หรือสะบัดออกด้านข้างทั้งสองของแก้มยาง ร่องยางหรือดอกยาง ควรเหลือไม่ต่ำกว่า 1.5-2 มิลลิเมตร
– แรงดันลมยาง ลมยางที่อ่อนเกินไปและดอกยางที่มีน้อยเกินไปจะทำให้ประสิทธิภาพในการรีดน้ำลดลง มีผลทำให้เกิดการลื่นไถลได้ง่าย
– รวมถึงตรวจเช็คสภาพระบบเบรค ระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานดีด้วย[ads]
2. เมื่อฝนตกหนัก ให้เปิดไฟหน้าและไฟตัดหมอก (ถ้ามี) ไม่เปิดไฟสูงเพราะสายฝนจะสะท้อนกลับมายังผู้ขับ มากจนมองเส้นทางข้างหน้ายาก ไม่ควรเปิดไฟหรี่ เพราะการเปิดไฟหน้าแบบต่ำ แทบไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลย ไดชาร์จ(อัลเตอร์เนเตอร์) แทบไม่ได้ทำงานหนักขึ้น ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน เพราะอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้ร่วมใช้เส้นทาง และทำให้ไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยวใช้ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
3. ช่วง 5 นาทีแรกที่ฝนตกใหม่ๆ ให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะถนนจะลื่นมากกว่าปกติ
4. ใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพถนนและการมองเห็น โดยปกติควรรักษาความเร็วให้อยู่ในระดับสม่ำเสมอ ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถหยุดรถได้ในระยะที่ปลอดภัย ทิ้งระยะห่างขณะขับตามรถคันหน้าให้มากกว่าปกติประมาณ 2 เท่า
5. หลีกเลี่ยงการเบรคอย่างกระทันหัน อย่าเหยียบเบรกแรงครั้งเดียว เพราะจะทำให้รถเสียหลัก ควรค่อยๆ ย้ำเบรกอย่างนิ่มนวล เพิ่มระยะทางและใช้เวลาในการเบรกนานขึ้น และเลี่ยงการใช้เบรคโดยไม่จำเป็น
advertisement

6. ระมัดระวังสภาพถนน เมื่อฝนตกขณะขับรถ หากมีน้ำขังควรลดความเร็วลง จับพวงมาลัยในตำแหน่งที่ ดีที่สุด (มือซ้ายอยู่ที่ 9 นาฬิกา และมือขวา 3 นาฬิกา) เพราะหากใช้ความเร็วสูงอาจก่อให้เกิดอาการเหินน้ำได้ และอาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่อื่นๆ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์
7. ในกรณีขับไปในถนนที่มีน้ำท่วมขัง สามารถสังเกตระดับความลึกของน้ำจากรถคันหน้า หรือขอบฟุตบาทข้างทางเพื่อประเมินสถานการณ์ [ads]
8. ขณะที่ขับลุยน้ำท่วมขังควรปิดระบบแอร์ และใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ Lหรือ เกียร์ 1) เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไป น้ำอาจจะย้อนเข้าท่อไอเสียได้
9. หลังจากที่ผ่านจุดที่น้ำท่วมขังมาแล้ว ให้ย้ำเบรคบ่อยๆ เพื่อรีดน้ำให้ผ้าเบรคแห้ง ป้องกันอาการเบรคลื่น แต่ถ้าต้องจอดรถเป็นเวลานานๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรคมือ จอดรถเพื่อป้องกันอาการเบรคติด
10. กรณีเกิดละอองฝ้าบริเวณกระจก ควรปรับอุณหภูมิในและนอกรถให้ใกล้เคียงกัน โดยลดกระจกลงเล็กน้อย หากยังมีละอองฝ้าให้จอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดกระจก
11. ไม่เปลี่ยนช่องทางกะทันหัน ไม่แซงรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิด และให้สัญญาณไฟก่อนเปลี่ยนช่องทางในระยะไม่ต่ำกว่า 60 เมตร โดยมองเส้นทางให้รอบด้าน หากรถอยู่ในระยะไกล จึงค่อยเปลี่ยนช่องทาง
12. ถ้าหากฝนตกหนักมาก จนไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจนในระยะ 10 เมตร ควรหาที่จอดที่ปลอดภัย รอจนฝนเบาหรือมองเห็นเส้นทางชัดเจน จึงค่อยขับรถไปต่อ
แม้ว่าสภาพอากาศที่ยุ่งยากต่อการขับขี่นั้น เราไม่สามารถแก้ไขและหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถเตรียมความพร้อมได้ เพิ่มความระมัดระวังและใช้ทักษะที่เรามีมาแนะนำนั้น ไปใช้ด้วยความมีสติอยู่เสมอ ก็จะช่วยให้เรื่องขับขี่ในเวลาฝนตกง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุได้ เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทางแม้ในช่วงฤดูฝนค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com