6 พฤติกรรมควรเลี่ยง..ช่วงตั้งท้อง
                    advertisement
	
	    เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนหวังอยากให้ลูกที่เกิดมานั้น มีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งร่างกายและสมอง ดังนั้นการตั้งครรภ์จึงต้องมีความสมบูรณ์ที่สุด นอกจากการบำรุงครรภ์แล้ว ยังต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะตัวแม่เองมีพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงช่วงตั้งท้อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้ค่ะ
advertisement
	
	1. กินครั้งละเยอะๆ 
	     หลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ จะเกิดอาการปวดแน่นหน้าอกบ่อยๆ เพราะลำไส้ถูกดันขึ้นมา เนื่องจากมดลูกที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น อาหารที่กินเข้าไปจะจุกรวมกันที่ช่องท้องทำให้รู้สึกอึดอัด รวมถึงการบีบตัวของระบบการทางเดินอาหารช้าลง ยิ่งช่วงท้องแก่มดลูกจะเบียดกะบังลม ทำให้ เคลื่อนตัวขึ้นลงไม่คล่อง มีอาการแน่นหน้าอกได้เช่นกัน
	     >> ดังนั้นควรแบ่งมื้ออาหารเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่ย่อยง่าย 
[ads]
advertisement
	
	2. นอนไม่เพียงพอ
	     การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ นอนไม่หลับ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะอาการปวดหลัง หรือนอนหลับไม่สนิทเพราะท้องที่ใหญ่ขึ้น รวม ถึงปัญหาก่อนตั้งท้อง เช่น ไมเกรน ปวดศีรษะ
	     >> การนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้มีสุขภาพและอารมณ์ของแม่และลูกน้อยด้วย คุณแม่จึงควรจัดการกับปัญหาและคลายความเครียด แนะนำคุณแม่ออกกำลังกายจะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น หากเครียดเรื่องสุขภาพควรปรึกษาคุณหมอ 
advertisement
	
	3 การลุก-นั่ง
	     การลุกยืน-นั่ง อยู่ในท่าแอ่นท้องเพื่อรับน้ำหนัก ทำให้กล้ามเนื้อหลังยึดตึง ประกอบกับการที่เอ็นและข้อต่อของอุ้งเชิงกรานหย่อน เพื่อรับน้ำหนักคุณแม่ จึงทำให้คนท้องมักจะปวดหลัง โดยเฉพาะบริเวณเอวช่วงล่างหรือปวดขาได้ง่าย
	     >> เปลี่ยนอิริยาบถจากท่าเดิมๆ บ้าง เช่น ถ้าต้องทำงานที่ยืนหรือเดิน ควรหาเวลานั่งพักขาให้บ่อยขึ้น ใส่ผ้าพยุงหน้าท้อง ถ้านั่งเป็นประจำควรหาเก้าอี้ตัวเล็กมารองเท้า หาหมอน มาหนุนหลัง ปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตาเป็นต้น
advertisement
	
	4. เดินมากเกินไป
	     เมื่อน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มดลูกก็ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ขวางทางเดินของเส้นเลือด การไหลเวียนของ เลือดไม่สะดวก เกิดเส้นเลือดดำโป่งพอง เกิดอาการปวดขาเวลาเดิน หรือหากเดินมากๆ ก็ทำให้รู้สึกเกร็งท้อง นอกจากนี้แล้ว การทรงตัวของคุณแม่อาจไม่คล่องแคล่วอีกต่อไป มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม สะดุดได้ตลอดเวลา
	     >> การแช่เท้าในน้ำอุ่นจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ใช้หมอนรองที่ขาเพื่อยกขาให้สูง ช่วยลดอาการบวมได้ดี แก้ปัญหาการไหลเวียนของเลือดโดยนั่งให้ยกขาสูงกว่าหัวใจ และควรเดินช้าๆ เลือกรองเท้าพื้นนิ่มๆ ยึดเกาะพื้นได้ดี เบา และไม่บาง จะช่วยให้เดินสบาย ไม่ปวดเท้า ปวดหลัง และปลอดภัย
[ads]
advertisement
	
	5. ยกของหนัก 
	    ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ท้องแก่หรือท้องใหม่ๆ การยกของหนักนั้นมีผลต่อลูกได้โดยตรง โดยเฉพาะบริเวณมดลูกของหนักจะไปกดทับมดลูก และเร่งการบีบตัว บางคนทำให้มีเลือดออกได้ 
	    >> ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือความช่วยเหลือจากคนอื่นแทน เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ 
advertisement
	
	6. การใช้สารเคมี
	     การใช้สารเคมี เช่น การย้อมทำ ดัดผม ทำสีผม เป็นสิ่งที่ควรระวัง หรือแม้กระทั่งครีมบำรุงบางชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ เพื่อเป็น การรักษา ความสมบูรณ์ของลูกน้อยในครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ลูกกำลังสร้างอวัยวะ การที่คุณแม่สูดดมสารเคมีเข้าปอดก็อาจจะส่งผลต่อลูกได้
	     >> หยุดใช้สารเคมีไปก่อน เพราะถึงจะไม่มีงานวิจัยมาสนับสนุนชัดเจนว่าการทำสีผมมีอันตราย แต่ที่แน่ๆ คือสารเคมีที่สัมผัสกับผิวของคุณแม่ที่อาจจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิมในช่วงที่ฮอร์โมนเปลี่ยน อาจจะทำให้คุณแม่เองนั้นแหล่ะที่เกิดอาการแพ้ได้
	อาการผิดปกติที่ควรรีบพบแพทย์
	     1. เจ็บท้องตลอดเวลาหลังเกิดอุบัติเหตุ อาจจะเกิดรกลอกตัว มดลูกแตก หรือถ้าเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหายอาจจะเป็นการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้
	     2. มีเลือดออกทางช่องคลอด เลือดออกกะปริดกะปรอย 
	     3. จากที่ลูกเคยดิ้น กลับไม่ดิ้น หรืออายุครรภ์ได้ 5-6 เดือนแล้วลูกยังไม่ดิ้น
	     4. ปวดศีรษะบ่อย
	     5. จุกเสียดแน่นท้อง
	     6. ขนาดท้องเล็กหรือใหญ่ขึ้นกว่าปกติ
การดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่จะต้องให้ความสำคัญ เพราะร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งนอกจากอาหาร และการพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว คุณแม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายต่างๆ ในทุกๆ วัน และหากเกิดอาการผิดปกติต้องรีบพบแพทย์ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและลูกน้อยในครรภ์
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com