นวดอย่างไรไม่เสี่ยงอันตราย?
advertisement
แพทย์แผนไทยแนะแนวทาง 3 ข้อสำคัญเพื่อพิจารณาผู้ให้บริการนวดว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ หลังจากสื่อสังคมออนไลน์ มีการพูดถึงคลิปนวดที่เรียกกันว่า “นวดเปิดสมอง” ซึ่งทำให้ผู้ถูกนวดมีอาการชักกระตุก และกลับฟื้นขึ้นมาปกติภายหลัง จนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงสาธารณสุข ต้องรีบออกมาเตือนว่า การนวดเปิดสมองนั้นเป็นอันตราย เนื่องจากการนวดจุดบริเวณคอที่มีเส้นเลือดใหญ่ และมีเส้นประสาทต้องระมัดระวังอย่างมาก ฉะนั้นการกดบริเวณนั้นหนักเกินไป อาจทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้สมองขาดเลือดขาดออกซิเจน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
[ads]
นี่จึงเป็นประเด็นที่ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดเสวนาในหัวข้อเรื่อง “นวดเปิดสมอง : ของแท้หรือหลอกลวง” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมพูดคุย ให้ข้อเท็จจริงและความรู้แก่ผู้ที่ชื่นชอบการนวด ว่านวดอย่างไรถึงปลอดภัย
นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กล่าวว่า กรณีที่มีการเผยแพร่การนวดเปิดสมองนั้น ส่วนตัวยืนยันว่า เป็นการหลอกหลวง แม้ผู้ที่นวดจะให้เหตุผลว่า มีความรู้ความเชี่ยวชาญ แต่ถ้าไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ หรือไม่ได้ศึกษาวิธีการนวดที่ถูกต้องมาฉะนั้นตามกฎหมาย จึงเป็นหมอเถื่อน
advertisement
“กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนที่คนไทยต้องเรียนรู้ว่า อะไรที่รวดเร็วเกินไปก็ไม่ดี บางครั้งต้องช้าลงบ้าง เพราะการดูแลสุขภาพ ต้องแยกแยะว่า สิ่งไหนเป็นภูมิปัญญาการนวดไทย ที่บรรพบุรุษถ่ายทอดความรู้มาให้และเป็นของแท้ หรืออะไรที่เป็นลักษณะการหลอกลวงแอบอ้าง จนทำให้บางครั้ง ก็เป็นการยากในการพิจารณาของประชาชนทั่วไป”
ผอ.สถาบันการแพทย์แผนไทย แนะนำว่า หากผู้ใช้บริการประสงค์ต้องการนวด มีหลักเกณฑ์พิจารณา ประกอบด้วย 1. ผู้ให้บริการต้องมีใบรับรองผ่านการอบรม หรือการเรียนตามหลักสูตร สำหรับให้บริการนวด โดยกลุ่มผู้ให้บริการถูกจัดแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ ผู้ที่เรียนมาในรูปแบบภูมิปัญญา (หมอพื้นบ้าน) กลุ่มนี้ได้มีการสำรวจและขึ้นทะเบียนประมาณ 5 หมื่นคน / ผู้ที่ไม่ได้สอบใบประกอบวิชาชีพ แต่ผ่านการอบรมการนวด / และผู้ที่ได้ใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งสามารถรักษาโรคได้ เนื่องจากต้องผ่านหลักสูตรอบรมอย่างน้อย 800 ชั่วโมง หรือ เรียนเรื่องกายวิภาคศาสตร์
advertisement
2.พิจารณาจากสถานที่ให้บริการ ถ้าเป็นสถานประกอบการเพื่อส่งเสริมด้านสุขภาพ ตรงนี้ห้ามนวดเพื่อบำบัด หรือรักษาเด็ดขาด 2.สถานบริการนวดเพื่อรักษาโรค กลุ่มนี้ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ และภายในสถานบริการควรมีเครื่องมือรองรับหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน 3.ก่อนเริ่มทำการนวดผู้ใช้บริการต้องแจ้ง ผู้ให้บริการว่า ตนเองมีข้อห้ามอะไร เช่น มีประวัติเรื่องเส้นเลือด กระดูก ฯลฯ หรือไม่เพื่อทำให้ผู้นวดจะได้ระมัดระวัง
นพ.ขวัญชัย ทิ้งท้ายว่า ก่อนตัดสินใจใช้บริการนวด ควรตรวจสอบใบรับรองการให้บริการ หรือสถานประกอบการก่อนว่ามีความถูกต้อง น่าเชื่อถือหรือไม่ แต่ถ้าหากเกิดปัญหาภายหลัง ผู้ใช้บริการควรร้องเรียนกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ
ขณะที่ เภสัชกร ดร.ยงศักดิ์ ตันติปิฎก รองประธานสมาพันธ์แพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนวดถือเป็นภูมิปัญญาไทย ที่สืบทอดกันมานานตั้งแต่อดีต จากนั้นได้พัฒนาและมีการฟื้นฟูเรื่อยมา และกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเมื่อปี 2528 และมีการประกาศให้เป็นกฎหมายเมื่อปี 2548 ว่าต้องมีการระบุให้ชัดเจน ว่าการนวดอย่างไรถูกต้อง ไม่เป็นอันตราย เพราะเป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก เนื่องจากอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้
advertisement
เภสัชกร ดร.ยงศักดิ์ ระบุว่า การนวดปัจจุบันเป็นที่นิยมแพร่หลาย ฉะนั้นการดูแลบางครั้งอาจไม่ทั่วถึง ซึ่งบางแห่งอาจมีการคิดสูตรของแต่ละที่ขึ้นมาโดยที่ไม่มีอยู่ในตำรา เพื่อทำให้น่าสนใจ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เพราะถ้านวดไม่ดี อาจทำให้เลือดไปเลียงสมองไม่ทัน บางครั้งอาจทำให้การเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น กรณีนวดเปิดสมองที่เกิดขึ้น
“หลักวิชาชีพการนวด ต้องผ่านการฝึกหัดอบรม จนผู้ปฏิบัติได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ใครอยากจะทำก็ได้ และไปอ้างภูมิปัญญา ไม่ใช่ใครมีวิชาก็ปล่อยกันอออกมา เพราะเมื่อมีปัญหาสังคมจะไม่ยอมรับ และจะทำให้เสียหายกันไปหมด”
advertisement
ด้าน ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ อธิบายว่า ปัจจุบันกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ เป็นหน่วยงานที่ดูแลควบคุมกำกับโรงพยาบาล คลินิกต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ดูแลกว่า 350 แห่ง และยังมีคลินิกในความดูแลอีกกว่า 24,000 แห่ง แบ่งเป็นคลินิกแพทย์แผนไทย 913 แห่ง แบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วน คือ แพทย์แผนไทยปกติ 804 แห่ง แพทย์แผนไทยประยุกต์ 109 แห่ง
ส่วนสถานที่ให้บริการปัจจุบันมี 3 ส่วน คือ 1. ตามพระราชบัญญัติสถานประกอบบริการ พ.ศ. 2509 เช่น อาบอบนวด คาราโอเกะ และสถานเริงรมย์อื่นๆ 2.ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 จะดูแลควบคุมคลินิก โรงพยาบาล และเมื่อผู้ประกอบการตามวิชาชีพให้บริการผิดตามกฎหมาย จะต้องส่งให้สภาวิชาชีเป็นผู้พิจารณาตัดสิน แต่ถ้าไม่ให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าข่าย หมดเถื่อน ส่วนนี้จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที และ 3.สถานตามพระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ จะดูแลสถานที่ให้บริการนวดสุขภาพ เสริมสวย สปา เป็นต้น
[ads]
ผอ.สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ระบุว่า ส่วนบทลงโทษ ผู้ที่เปิดคลินิกสถานพยาบาลเถื่อนมีโทษตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ถือว่าเป็นหมอเถื่อน มีทั้งโทษจำคุกไม่เกิน 3ปี โทษปรับไม่เกิน 6หมื่นบาทเช่นกัน
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก : thaihealth.or.th, เรื่องโดย : saowalak pisitpaiboon, แหล่งที่มาจาก : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์