หยุดทำร้ายลูกน้อย!! ด้วยการป้อนไส้กรอก เพราะสาเหตุทีี่หลายคนอาจคาดไม่ถึง รู้แล้วควรเลิกด่วน!!
advertisement
หลายท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่อง ผลเสียของไส้กรอกสำเร็จรูปที่หากกินมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ แต่ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ วันนี้ไข่เจียวเลยมีความรู้เรื่องนี้มาฝากกัน ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าบ้านไหน ลูกหลานชอบกินก็ควรหยุดเสียตั้งแต่วันนี้
กินไส้กรอกเสี่ยงมะเร็งจริงหรือ?
advertisement
คำถามเตือนภัยนี้คงฟังดูน่ากลัวไปสักนิด เพราะทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบกินไส้กรอกเป็นชีวิตจิตใจ จริงหรือไม่ว่าความอร่อยเหล่านี้แฝงความอันตรายโดยที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ทุกวันนี้มีผู้รับประทานอาหารประเภทไส้กรอก แฮม เบคอนมากขึ้น และมีแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้นอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่ายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แถวรสชาติยังอร่อยถูกใจใครหลายคน มาดูกันว่าทานไส้กรอกเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงมะเร็ง? หรือไม่ [ads]
สุ่มตรวจไส้กรอกในท้องตลาดพบสารเคมีเพียบ
เว็บไซต์ ฉลาดซื้อ เปิดเผยข้อมูลในหัวข้อ ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ประเภทอาหารและสุขภาพ ฉบับที่ 181 ไนเตรท และ ไนไตรท์ ใน “ไส้กรอก” ว่า ไส้กรอกเป็นอาหารแปรรูปที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่ต้องพึ่งสารเคมีหลายตัวในการผลิต 1 ในนั้นคือ “ไนเตรท และ ไนไตรท์” ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการคงสภาพของไส้กรอก ทั้งเป็นสารกันบูดช่วยยืดอายุอาหารและช่วยทำให้สีของไส้กรอกดูสวยงามน่ารับประทาน นอกจากจะไม่มีคุณค่าทางอาหาร อาจเป็นโทษต่อสุขภาพ หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป โดยได้ทดสอบจากการสุ่มตัวอย่าง ไส้กรอกยี่ห้อต่างๆ ที่วางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด ผลปรากฎว่า จากทั้งหมด 15 ตัวอย่าง มีเพียง 1 ตัวอย่างที่ไม่พบการเจือปนของ ไนเตรทและไนไตรท์
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก
รายงานของสำนักงานวิจัยมะเร็ง องค์การอนามัยโลก ระบุว่ามีหลักฐานชี้ชัดว่า
1. เนื้อสัตว์แปรรูปอย่างไส้กรอก แฮม เบคอน มีสารก่อมะเร็งพอ ๆ กับบุหรี่ แอลกอฮอล์ แร่ใยหิน และสารหนู เพราะจากการวิจัยพบว่า อาหารเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งลำไส้ ถ้ากินไส้กรอก เบคอน แฮมทุกวัน แม้วันละแค่ 50 กรัม จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ถึง 18%
2. วัตถุเจือปนอาหารที่ระบุไว้ คือ สารโซเดียมไนไตรท์ ที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์จำพวกไส้กรอก แฮม เบคอน แหนม กุนเชียง หรือไส้กรอกเปรี้ยว โดยสารนี้เป็นผลึกสีขาว คล้ายน้ำตาลทราย ใช้สำหรับผสมอาหารประเภทเนื้อสัตว์หมัก เพื่อคงสภาพสีและกลิ่นของไส้กรอก ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะไว้ได้นาน แต่หากได้รับสารชนิดนี้ในปริมาณมากเกินไปก็มีอันตรายเช่นกัน เพราะเมื่อสารชนิดนี้ไปทำปฏิกิริยากับสารเคมีในเนื้อสัตว์ อาจก่อให้เกิดโรคชนิดเฉียบพลัน และโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคมะเร็ง
3. เนื้อแดงไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อแกะหรือเนื้อหมู ก็ถูกจัดอันดับว่ามีสารก่อมะเร็ง ทำให้เป็นมะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมากได้
อย่างไรก็ตาม ทิม เคย์ นักวิชาการแห่งสถาบันมะเร็งอังกฤษ กล่าวว่า รายงานนี้ไม่ได้เตือนให้คนเลิกกินเนื้อแดงหรือเนื้อที่ผ่านกระบวนการ เพราะเนื้อยังคงให้สังกะสี โปรตีน วิตามินบี12 และเหล็ก แก่มนุษย์ที่สามารถดูดซับได้ดีกว่าจากพืช แต่ก็ไม่ควรกินมาก ควรเพิ่มปลาและสลัดถั่วเข้าไปในเมนูจะดีที่สุด
advertisement
ข้อมูลจากนักวิจัยไทย
รศ.วินัย ดะห์ลัน ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เรื่องนี้ได้รับการศึกษามานานกว่า 20 ปี 800 งานวิจัย พบตรงกันหมดว่า การทานเนื้อแปรรูปจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง จนกระทั่งองค์การอนามัยโลกมั่นใจจึงได้ออกมาแจ้งเตือน โดยเคยมีการศึกษาทดลองในคนกลุ่มใหญ่เป็นเวลานาน 13 ปี พบว่า คนที่ทานเนื้อแปรรูปจะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่า คิดเป็น 18% เนื่องจากเนื้อแปรรูปมีส่วนผสมของไขมันและสารไนไตรท์ รวมถึงกระบวนการปรุงที่ใช้ความร้อนสูงด้วย ซึ่งเป็นการสร้างสารก่อมะเร็ง
รศ.วินัย อธิบายต่อว่า การสูบบุหรี่และการทานเนื้อแปรรูปในปริมาณที่เท่ากัน พบว่า มีความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเท่ากันเช่นกัน ดังนั้นควรทานทุกอย่างในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากไม่ควรทานเนื้อแปรรูปเกินวันละครึ่งขีด และการทานเนื้อดิบก็มีความเสี่ยงอีกแบบหนึ่ง ดังนั้น ควรทานเนื้อในปริมาณที่เหมาะสมและทานพืชผักช่วยด้วย [ads]
นอกจากนี้ เภสัชกรหญิง ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ชี้แจงว่า การบริโภคอาหารประเภทนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดพิษเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการที่ไนไตรท์ทำปฏิกิริยาขึ้นในร่างกาย แล้วเกิดเป็นกรดไนตรัสขึ้นมา เมื่อลงไปในกระเพาะอาหาร พอเวลาที่เราทานอาหารประเภทโปรตีนเข้าไป ตัวกรดไนตรัสจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีน เกิดเป็นไนโตรซามีน ซึ่งไนโตรซามีนเป็นสารก่อให้เกิดมะเร็งได้ หากเราทานอาหารที่มีไนไตรท์สะสมเข้าไปนาน ๆ สารนี้จะค่อย ๆ ทำปฏิกิริยาไปเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง
แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับไส้กรอกเสี่ยงมะเร็งกันแล้วนะคะ แต่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปค่ะ เพราะไม่ได้ห้ามรับประทานเพียงแต่ควรรับประทานให้น้อยลง ควรเพิ่มอาหารจำพวกเนื้อปลา ผัก แทนอาหารจำพวกเนื้อแดง ไส้กรอก เบคอน และหมั่นออกกำลังกายและดูแลสุขภาพก็จะห่างไกลจากโรคแล้วค่ะ
รู้แบบนี้ก็ควรเลิก และหันมาป้อนอาหารที่มีประโยชน์ให้กับลูกน้อยจะดีกว่า ซึ่งอาหารที่เลือกให้ลูกก็ควรเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ไปปรุงรสมากเกินไปจะยิ่งดี
ขอขอบคุณที่มาจาก : th.theasianparent.com