เลิกสงสัย? กินไม่เยอะ แต่ดูอวบอึ๋ม เป็นเพราะอาการ “บวมน้ำ” และนี่คือเคล็ดลับลดอาการบวมน้ำที่ได้ผลสุดๆ
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/04/ลดอาการบวมน้ำ-1.jpg)
advertisement
ผู้หญิงเรามักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของน้ำหนักกันอยู่เสมอๆ นะคะ เดี๋ยวน้ำหนักเพิ่ม เดี๋ยวอ้วน เดี๋ยวผอม บ่นกันไปให้วุ่นวาย ทำให้ผู้ชายที่อยู่ข้างกายมักจะงงและสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าคนเราทำไมอ้วนเร็วจัง เดี๋ยวก็ว่าน้ำหนักขึ้นอีกแล้ว เดี๋ยวเดียวก็ลดแล้ว นั่นไม่แปลกหรอกคะเพราะว่าผู้หญิงมักจะมีอาการบวมน้ำ! ต่างจากความอ้วนที่มีไขมันสะสมในร่างกาย สาเหตุของอาการบวมน้ำนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน โดยเฉพาะในช่วงวันนั้นของเดือน เช่นนี้แล้วทำให้สาวๆ กลุ้มอกกลุ้มใจกันและอยากผอมได้โดยเร็ว วันนี้ Kaijeaw.com จึงมีเคล็ดลับ..ช่วยลดอาการบวมน้ำ อย่างได้ผล มาบอกกันค่ะ สาวๆ ไปดูกันเลย
advertisement
![อาการบวมน้ำ-1](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/04/อาการบวมน้ำ-1.jpg)
อาการบวมน้ำ คือ..
"อาการบวมน้ำ" เกิดจากของเหลวที่ควรเดินผ่านหลอดเลือดและน้ำเหลืองกลับซึมเข้าสู่เซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ เพราะร่างกายของคนเราจะสามารถรักษาระดับความสมดุลของน้ำในร่างกายได้ตามธรรมชาติ หากคุณมีพฤติกรรมที่ส่งผลต่ออาการบวมน้ำ เช่น ทานอาหารรสจัด ดื่มจัด ขี้เกียจไม่ยอมลุกออกจากเตียง ในวันนั้นของเดือน การยืนนานๆ และการนั่งห้อยขาก็ทำให้ข้อเท้าบวมได้
ส่วนอาการบวมน้ำก่อนมีประจำเดือน เกิดจากระดับฮอร์โมนแปรปรวนซึ่งมีผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นอีก ก็คือ เกิดจากโรคตับ โรคไต หรือภาวะหัวใจล้มเหลวได้ก็จะส่งผลให้เกิดอาการบวมน้ำขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็จะยิ่งทำให้น้ำหนักตัวของสาวๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย [ads]
advertisement
![อาการบวมน้ำ-2](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/04/อาการบวมน้ำ-2.jpg)
อาการบวมน้ำปล่อยไว้ก็รังแต่จะส่งผลเสียทั้งสุขภาพและหุ่นสวยๆ ของเรา ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยไว้ มีวิธีการแก้ไขได้ ดังนี้ค่ะ
1) ช่วงมีประจำเดือน สาเหตุเกิดจากการไม่สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน จึงทำให้มีการกักของเหลวในร่างกายมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้คุณบวมน้ำและมีอาการท้องอืด แต่การที่คุณได้รับแมกนีเซียมเพียงวันละ 200 มิลลิกรัม จะช่วยลดอาการท้องอืดได้เกือบ 50% ซึ่งแมกนีเซียมจะมีมากในอาหารประเภทถั่ว เมล็ดทานตะวัน ผักโขม จมูกข้าว และอะโวคาโด เป็นต้น
2) การดื่มน้ำมีส่วนช่วยลดอาการอ้วนแบบบวมน้ำ บอกไว้เลยค่ะว่าการดื่มน้ำจะไม่เพิ่มอาการบวมน้ำขึ้น เพราะความจริงแล้วการที่เราดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ จะช่วยลดระดับสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายในร่างกายได้ โดยเฉพาะ หากคุณรู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง อึดอัด น้ำที่ดื่มจะช่วยได้มาก และไม่ได้ส่งผลเสียต่อการลดน้ำหนักแต่อย่างใดค่ะ จึงควรดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยดื่มน้ำเปล่าสะอาดให้มากกว่าวันละ 8 แก้ว
3) ลดอาหารเค็ม โซเดียมในอาหารที่มีรสเค็ม จะทำให้เกิดการบวมน้ำได้มากถึง 2 กิโลกรัมในชั่วข้ามคืน เพราะร่ากายจะทำการเก็บน้ำได้อัตโนมัติเพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกทางไต แต่กว่าจะขับเสร็จ คุณก็จะรู้สึกอึดอัด น้ำหนักขึ้น ตัวบวมได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดทุกชนิดโดยเฉพาะรสเค็ม เน้นการทานอาหารที่มีรสปรุงแต่งของวัตถุดิบจากธรรมชาติ ลดการปรุงอาหารลงให้มาก
4) อาการบวมน้ำหลังการออกกำลังกาย การออกกำลังกาย ที่ส่งผลให้มีอาการบวมน้ำ คือการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้เกิดแก๊สในระบบย่อยอาหารได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการท้องอืด อึดอัด แน่นท้อง เนื่องจากระบบการย่อยอาหารกำลังทำงานอยู่เพื่อย่อยอาหารที่คุณทานเข้าไป พอร่างกายมีการออกกำลังกายระบบกล้ามเนื้อจะเริ่มทำงาน ซึ่งเมื่อสองระบบทำงานพร้อมๆ กัน จะเกิดแก๊สในระบบการย่อยอาหารได้ จึงควรเว้นระยะเวลาห่างในการออกกำลังกายหลังและการรับประทานอาหาร ประมาณ 1-1.30 ชม. และหลีกเลี่ยงการโหมออกกำลังกาย เปลี่ยนเป็นการเดินจ็อกกิ้งเบาๆ จะดีกว่าค่ะ
5. กินไฟเบอร์ กากใยอาหารมากเกินไป การทานไฟเบอร์ หรืออาหารที่ให้กากใยอาหารมากเกินไป แม้จะมีประโยชน์มาก แต่การทานมากเกินความจำเป็นจากความต้องการปกติ จะทำให้เกิดการท้องอืดได้ ควรหลีกเลี่ยงการกินไฟเบอร์ชนิดอาหารเสริม ให้กินจากข้าวขัดสีน้อย ผักและผลไม้ ถั่ว โดยกินแต่พอดีไม่มากเกินไป ประมาณมื้อละ 25-30 กรัม และควรดื่มน้ำให้มากด้วย
6. กินอาหารให้ช้าลง การทานอะไรเร็วๆ เวลาที่คุณกลืนอาหารลงไปจะทำให้คุณได้รับอากาศ ไปด้วย ซึ่งหากมีอากาศเข้าไปในระบบย่อยอาหารมาก จะทำให้ท้องอืดได้ ควรกินให้ช้าลง เคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้น และควรฝึกเคี้ยวแบบไม่อ้าปากเพื่อลดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร และเป็นมารยาทที่ดีในการรับประทานอาหารอีกด้วยค่ะ
7. กินมากไปจนพุงกาง การกิรอาหารมากจนเกินไป ชนิดที่เรียกได้ว่า “อิ่มจนพุงกาง” จะทำให้เกิดการท้องอืด จุกเสียดได้ง่าย ส่งผลเสียต่อแผนลดน้ำหนักของคุณอีกด้วย
ข้อแนะนำ : จึงไม่ควรกินมากจนเกินไป ให้กินแต่พอดี และกินแต่อาหารที่มีประโยชน์
8. ลดอาหารที่มีแก๊สสูง อาหารชนิดมีแก๊สสูงมาก โดยเฉพาะในกะหล่ำปลี ชะอม สะตอ บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วงอก เป็นต้น ซึ่งไม่ควรกินในปริมาณมากๆ หรือสามารถนำผักเหล่านั้นไปลวกเพียง 1-2 นาที จะช่วยลดแก๊สในอาหารชนิดนั้นได้ นอกจากนี้ยังมีมากในผลไม้บางชนิด เช่น ฝรั่ง ที่อาจทำให้รู้สึกท้องอืด แต่เพียงควรปอกเปลือกฝรั่งก่อนทานก็จะช่วยลดแก๊สได้เข่นกัน
9. ควรเพิ่มแบคทีเรียที่ดี ลดการท้องอืด โพรไบโอติก เป็นแบคทีเรียที่ดีที่ช่วยในการย่อยสลายกากอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีมากในโยเกิร์ต นมเปรี้ยวค่ะ [yengo]
advertisement
![ว่ายน้ำ-1](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/04/ว่ายน้ำ-1-1.jpg)
10. ออกกำลังกาย แนะนำให้ว่ายน้ำค่ะ เพราะจะสามารถช่วยบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ ดังที่เรียกว่า "หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง" เพราะน้ำในสระจะเป็นแรงดันน้ำส่วนเกินจากเนื้อเยื่อออกไปได้ และควรว่ายน้ำในอุณหภูมิ 27-32 องศาเซลเซียส สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 37 องศาเซลเซียส
11. กินขึ้นฉ่าย ขึ้นฉ่ายถือเป็นสมุนไพรที่หาได้ง่าย และยังมีสรรพคุณช่วยลดอาการบวมน้ำที่เกิดขึ้นได้ ด้วยการช่วยเร่งให้คุณปัสสาวะ บรรเทาอาการได้ดี
12. นอนยกเท้าขึ้นสูง ช่วยให้น้ำที่ขังอยู่ตามขาไหลกลับเข้าระบบไต เพื่อขับออกมาได้ง่ายขึ้น
13 แก้ปัญหาท้องผูก ใครที่ท้องผูกเป็นประจำล้วนเจอปัญหานี้ เพราะของเสียที่ตกค้างในร่างกายจะผลิตแก๊สออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ร่างกายเกิดอาการบวม และยังเกิดผลเสียต่อผิวพรรณอีกด้วยค่ะ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารสุขภาพ มีใยอาหาร และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนะคะ โดยเน้นท่าบริหารหน้าท้อง เพื่อกระตุ้นลำไส้ให้เคลื่อนตัว ก็จะช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นค่ะ
Tip : หากเมื่อไหร่ที่คุณกินอาหารรสจัดเข้าไปมากๆ แก้ไขด้วยการกินผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วยหอม สับปะรด แอปเปิ้ล แตงโม แคนตาลูป ส้ม แล้วดื่มน้ำตามมากๆ โพแทสเซียมจะขับโซเดียมออกไปจากตัวเราได้
สาวๆ ที่มีอาการบวมน้ำกันอยู่บ่อยๆ อยากจะผอมหุ่นสวยเสมอต้องหาวิธีการแก้ไขแล้วนะคะ 13 ข้อแนะนำที่ Kaijeaw.com มี นำไปใช้ได้ผลจริง สาวๆ ต้องมีวินัยและตั้งใจจริงกันด้วยนะคะ ที่สำคัญสาวๆ ไม่ลืมตรวจเช็กอาการบวมน้ำของตัวเองให้ดีนะคะ ด้วยการลองกดลงไปบริเวณผิวหนังของคุณดู หากลองกดแล้วผิวของเราบุ๋มลงไปแล้วกลับคืนสภาพช้าลง ควรรีบปรึกษาแพทย์นะคะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com