ลูกสาวต้องระทม ชีวิตพังเพราะแม่งมงายเชื่อหมอดู
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2020/05/หมอดู-1-1-1024x512.jpg)
advertisement
คุณ สมาชิกหมายเลข 1386402 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปได้ออกมาโพสต์แชร์เรื่องราวหลังจากชีวิตต้องพังเพราแม่เชื่อหมอดู โดยจากโพสต์นั้นเธอได้ระบุว่า 'หยุดทำร้ายลูกของคุณด้วยการไปดูหมอ! บทเรียนชีวิตครอบครัวที่พังพินาศเพราะความงมงาย'
ตั้งแต่เด็กแม่เราเป็นคนที่เชื่อหมอดูมาก พอเราอายุได้เก้าขวบก็มีหมอดูคนนึงก้าวเข้ามาในชีวิตของเรา ด้วยความที่พ่อกับแม่นิสัยเข้ากันไม่ได้แต่ทนๆ อยู่ไปด้วยกัน (เข้าใจว่าสมัยนั้นการหย่าเป็นเรื่องใหญ่) และแม่เราเป็นแม่บ้าน แม่เราเลยติดหมอดูคนนี้มากจนถึงกับเป็นเพื่อนสนิทกับหมอดู
advertisement
![หมอดู-3](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2020/05/หมอดู-3.jpg)
เวลาที่ไปส่งเราที่โรงเรียนก็จะกลับบ้านมาทำอาหารแล้วจัดแจงใส่ตะกร้าไปให้หมอดูทาน แล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นทั้งวันจนกระทั่งเย็นไปรับเรา (ซึ่งมักจะไปรับเราสายเสมอ โรงเรียนเลิก 3.40 แต่จะมารับอย่างเร็วสี่โมงครึ่ง ทำให้เราต้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ เพราะเพื่อนกลับบ้านกันหมดแล้ว ยิ่งบางวันที่เขาไปต่างจังหวัดทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณกันบางทีก็หกโมง ทุ่มนึง) พอกลับถึงบ้านเสร็จแม่ก็จะคุยโทรศัพท์กับหมอดูคนนี้ตลอด เวลาจะไปเที่ยวก็ต้องเอาหมอดูคนนี้ไปด้วย ไม่ก็โทรคุยตลอด ไม่มี privacy
เราแทบไม่เคยมีเวลาได้อยู่กับแม่เราแบบเดี่ยวๆ เลย แม่เรามีเวลา มีทรัพยากร มีใจเท่าไหร่ก็ทุ่มให้กับหมอดูคนนี้ทั้งหมด เขาคบกันตั้งแต่เราอายุ 9-17 ปี เป็นเวลา 8 ปีที่เรารู้สึกเหมือนกับเราไม่มีตัวตนในสายตาแม่เลยในชีวิต เป็นเพียงตัวถ่วง เป็นภาระที่เขาต้องดูแลแทนที่เขาจะได้มีความสุขกับเพื่อนของเขา อีกทั้งเวลาที่เขาอยู่ด้วยกัน เขาชอบหาคำพูดมาล้อเลียนเรา เช่น แย้ (เพราะเราเป็นเด็ก ติดสอยห้อยตามเขาไปทั่ว ทำให้เขารู้สึกพะรุงพะรัง) เราไม่ชอบเลยเวลาที่แม่และผองเพื่อนสมาคมแม่บ้านในสำนักหมอดูของเขาเรียกเรากับน้องแบบนี้แล้วนั่งหัวเราะกัน ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นตัวตลก
หมอดูคนนี้ทำนายว่า – เราชงญาติ ห้ามเรียกใครเป็นญาติทั้งนั้นในชีวิต เช่น ห้ามเรียกป้าร้านข้าวแกงว่า"ป้า" แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ห้ามเรียกพ่อว่า"พ่อ" ห้ามเรียกแม่ว่า"แม่"บังคับให้เรียกว่าคุณ เวลาที่เราเรียกพ่อหรือเรียกแม่ด้วยความชินเพราะเรียกมาตั้งแต่เด็ก ไม่แม่ก็เพื่อนหมอดูของแม่ก็จะบอกว่าเราเป็นสาเหตุที่ทำให้ที่บ้านเราจน (ซึ่งจริงๆ แล้วที่บ้านเป็นชนขั้นกลางที่มีฐานะ Upper Middle Class ด้วยซ้ำ) "หนูไม่อยากให้ป๊ากับแม่รวยหรือ ทำไมไม่เรียกพ่อว่าคุณ X เรียกแม่ว่าคุณ Y อย่างที่สอน"
advertisement
![หมอดู-2](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2020/05/หมอดู-2.jpg)
วันดีคืนดีแม่เราโมโหเรา (ด้วยความเป็นเด็กที่ซนและมีวีรกรรมเยอะเป็นธรรมดา จะเอาอะไรมากกับเด็กเก้าขวบสิบขวบ) ก็จะว่าขึ้นมาดังๆ ว่า "เธอมันชงญาติ ชงญาติน่ะมีสองแบบรู้ไหม ล้างผลาญญาติหรือญาติล้างผลาญ เธอน่ะเป็นแบบไหน" ซึ่งเป็นคำพูดที่เราลืมไม่ลง และยังคงหลอกหลอนเราถึงทุกวันนี้
ส่วนน้องของเราชงคู่กับชงพ่อ ก็ห้ามเรียกพ่อว่า"พ่อ" ทุกครั้งที่น้องจะไปนอนห้องพ่อแม่ก็จะสั่งห้าม บอกว่าจะทำให้น้องป่วย
– ทุกคนในบ้านจะมีวันชง ซึ่งเป็นวันๆ หนึ่งในสัปดาห์และจะตามมาด้วยข้อปฏิบัติที่เยอะมาก อย่างเราชงวันพฤหัส นั่นหมายความว่าเราห้ามมีสีเหลือง แสด ส้ม ทองในของใช้ส่วนตัวและเสื้อผ้าทั้งหมด ห้ามไหว้พระปางสมาธิ วันพฤหัสห้ามซื้อของเข้าบ้าน เปิดบัญชีธนาคาร ฯลฯ ถ้ามีธุระสำคัญที่ต้องทำในวันพฤหัส เช่น สอบปลายภาค ต้องเอาน้ำร้อนราดตัวก่อน 19 ที นอกจากนี้ยังมีเซตของอาชีพที่ทำได้/ไม่ได้อีกด้วย (เยอะมากจำไม่ได้)
อย่างพ่อกับแม่เราชงวันอังคาร น้องเราชงวันพุธ ปวดหัวมาก เพราะการจะออกไปทำกิจกรรมครอบครัว หรือจะตัดสินใจใดๆ ต้องมานั่งคำนึงถึงวันชงของทุกๆ คน ที่สำคัญคือเรารู้สึกอายเวลาที่เราไปซื้อเสื้อผ้า มองไปก็เห็นคนขายหน้าเจื่อนๆ เพราะแม่เราจะเจ้ากี้เจ้าการมากว่าสีนั้นไม่ได้ สีนี้ไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เราถูกโฉลกกับสีชมพูและเราเองก็ชอบสีชมพูเพราะเป็นเด็กผู้หญิง พอเลือกของอะไรก็ตามสีชมพูแม่ก็จะว่าว่าลูกไม่แคร์แม่บ้าง ก็รู้ว่าแม่กับป๊าชงสีชมพูก็ยังจะซื้อของสีชมพูมาอีก
– หมอดูคนนี้ (และผองเพื่อนสมาคมแม่บ้านของเขา) ชอบว่าเราอีโก้สูง (ใช่ค่ะ เราได้ยินคำนี้ครั้งแรกตั้งแต่อายุเก้าขวบ) เป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง ถึงขั้นที่ว่าพูดคำทำนายนี้ออกมาตอนที่มีวิญญาณมาผ่านร่าง (เขาเป็นร่างทรงด้วย) แล้วแม่เราก็เชื่อหัวปักหัวปำ เอาคำพูดของหมอดูคนนั้นมาพูดกับเราตลอด เกือบทุกเย็นหลังเลิกเรียนเวลากลับบ้าน บทสนทนาจะเป็นประมาณนี้ "วันนี้มีองค์นั้นมาผ่านร่าง เขาบอกว่าหนูเป็นคนที่…เพราะชาติที่แล้วหนู…." วันดีคืนดีหลังเลิกเรียนตอนพระอาทิตย์ตกต้องไปให้ร่างทรงผูกข้อมือด้วย
advertisement
![หมอดู-1](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2020/05/หมอดู-1.jpg)
– คำทำนายชาติที่แล้วมีอะไรบ้าง
1) เขาบอกว่าเราเคยเป็นแม่ทัพสมัยพ่อขุนยุคสุโขทัยที่ดื้อรั้นมาก แม้กระทั่งถูกทำโทษให้ยืนขี่ม้ากลางแดดก็ไม่ยอมขอโทษจนกระทั่งม้าที่ตัวเองขี่นั่นล้ม (WTF?!)
2) นอกจากนี้เรายังเป็นแม่ทัพสมัยอยุธยาที่ไม่รักษาสัญญา ตอนที่พม่าบุกเมืองเราเคยสัญญากับชาวบ้านไว้ว่าเราจะมาช่วยพวกเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วเราเห็นแก่ตัวและกระโดดลงเรือไปในคลองหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ทำให้คนที่รอเราอยู่ตรงนั้นโดนฆ่าทั้งหมดและจองเวรจองกรรมกับเรา ซึ่งเป็นเหตุให้เราต้องเดินทางไปทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณที่วัดในอยุธยาวัดหนึ่งที่มีพระนอน (ซึ่งจริงจังมากถึงขั้นที่ว่าหยุดเรียนที่โรงเรียนประถมวันหนึ่งแล้วเหมารถตู้ไปกันทั้งคัน)
3) เราชงวันพฤหัสเพราะเราเคยเป็นสีกาที่เคยหลอกให้พระสึก พูดหว่านล้อมจนพระหลงเชื่อว่าการมีชีวิตอยู่ทางโลกนั้นดีกว่า ท้ายที่สุดแล้วเราทำให้เพราะองค์นั้นฆ่าตัว เพราะพระองค์นั้นรับมือกับชีวิตทางโลกไม่ได้ (WTF?!) [ads]
ที่แย่ที่สุดคือเวลาที่เรามีปัญหาที่โรงเรียน ทะเลาะกับเพื่อน โดนบูลลี่เพราะเพื่อนและครูหมั่นไส้ที่เป็นคุณหนู แม่ก็จะพูดว่า "ก็เพราะหนูไปทำเขามาชาติที่แล้วไงลูก ชาตินี้หนูก็ต้องชดใช้กรรมไปไง" ซึ่งเป็นคำพูดที่ติดหูเรามาก ตอนนั้นเราอายุ 13 เป็นโรคซึมเศร้าและมีความคิดฆ่าตัวบ่อยมาก เวลาที่เราบอกว่าเราไม่มีความสุขทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน แม่ก็บอกเราเสียงเขียวว่า "ก็หัดรู้จักพิจารณาตัวเองสิ ถ้าอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุขนี่เป็นปัญหาของตัวเองหรือเปล่า" (แม่พาไปเรียนโรงเรียนกทม.ซึ่งเป็นโรงเรียนของเด็กที่มาจาก working class ทั้งๆ ที่เราเรียนคอนแวนต์มาตั้งแต่เด็กเพียงเพราะหมอดูบอกว่าโรงเรียนนี้ดี ท้ายที่สุดเราเครียดเรื่องการปรับตัวมากจนมีนักจิตวิทยาโรงเรียนพาไปหาจิตแพทย์ กินยาไบโพลาร์ เจาะเลือดทุกสัปดาห์ แม่เราพาเราไปหาหมอก็จริงแต่ก็ยังต่อต้านลึกๆ บอกเราว่า "หนูไปหาหมออย่างนี้คนอื่นเขาก็มองแม่ว่าแม่มีผลผลิตที่ล้มเหลว หยุดกินยาได้แล้ว หนูไม่ได้ป่วยเข้าใจไหม หนูคิดไปเอง")
ตอนนั้นม็อบพันธมิตรกำลังคุกรุ่น ความสนใจแม่เราก็จะอยู่แค่การเมืองกับหมอดู แค่เราอยากไปดูคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิกแม่ก็บอกว่าเราเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจการบ้านการเมือง รู้จักหาแต่ความสุขใส่ตัวเอง ไม่มองเห็นความทุกข์ร้อนของคนอื่น
– เราเคยตัดผมม้าแล้วโดนหมอดูคนนี้ดึงหน้าม้า ตะโกนว่าใหญ่เลยว่าตัดผมแบบนี้ได้ยังไง มันบังราศี จะทำให้มีแต่โชคร้าย แล้วแม่เราก็เอาแต่นั่งมองเราทั้งๆ ที่เราตกใจกลัว แม่เราไม่เคยปกป้องเราเลย ยืนดู และเออออกับคนอื่นในการข่มเหงเราตลอด เช่น แม่เราชอบไปบ่นให้คนอื่นฟังว่าแม่เราเบื่อพ่อเรามากแค่ไหน แล้วคนอื่นก็จะพูดทำนองว่า "ลูกคนนี้มันเรียนดีเป็นเด็กฉลาดก็จริง แต่มันก็ทั้งฉลาดและดื้อหัวแข็งเหมือนพ่อมัน" แล้วแม่เราก็เออออ ต่อยอดเป็นบทสนทนาไปเรื่อย แล้วบอกว่าน้องเราเป็นเด็กที่อ่อนโยนกว่าบ้าง ฯลฯ แม่พูดแบบนี้ต่อหน้าเราทุกครั้งแม้กระทั่งเราโตยี่สิบกว่าแล้ว เรามีการมีงานที่ดีทำ ได้ทุนเต็มจำนวนเรียนต่อต่างประเทศทุกปี แต่แม่ก็ยังไม่เลิกราที่จะมองเราด้วยภาพลักษณ์แบบนี้ และยังคงบ่นพ่อในเรื่องเดิมๆ ให้เราฟัง ซึ่งเราเครียดมากจนเราต้องกรีดร้องออกมาอยู่บ่อยครั้ง
พอเราร้องไห้ก็บอกว่า "แม่แค่พูดเฉยๆ พูดแค่นี้ไม่ได้หรอ" แต่แม่เราใช้เราเป็นนักจิตวิทยาตั้งแต่ 7 ขวบ สิ่งนี้เรียกว่า emotional incest ทำให้ลูกเกิดความเครียดสะสมและมีปัญหาสุขภาพจิตตอนโต เพราะลูกยังเด็กเกินที่จะทำความเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ จึงรับมาแต่อารมณ์อย่างเดียว และมันเป็นการบอกลูกเป็นนัยๆ ว่า "ลูกพึ่งแม่ไม่ได้นะ แม่มีปัญหาของแม่เยอะแล้ว" แม่เราชอบพูดแต่ปัญหาครอบครัว และขี้สงสารฟังเรื่องราวทุกข์ยากของคนอื่น แต่เวลาที่เราขอความช่วยเหลือบ้างแม่ก็จะพูดว่า "แต่หนูไม่ได้เป็นอะไร หนูสบายดีนี่" ไม่ก็แสร้งไม่ได้ยินหรือตัดบทไปพูดเรื่องอื่น ซี่งมันทำให้เราดูเป็นคนผิดในสายตาของเพื่อนแม่เรา เพราะทุกคนจะมองว่าเรามีแม่ที่ประเสริฐมากแต่กลับทำตัวเป็นปัญหาเสียเอง เราเกลียดสายตาตำหนิของเพื่อนแม่มองเรามากๆ เราเลยพยายามอยู่ห่างๆ เพื่อนของเขา
– ทำนายว่าพ่อเราจะเสียตอนอายุ 55 ด้วยเหตุผลนี้เองแม่เราจึงเกลี้ยกล่อมให้พ่อเชื่อลัทธินี้ได้สำเร็จ (ใช่ เราเห็นมันเป็นเพียงลัทธิหนึ่ง) นอกจากนี้แม่เรายังเผยแผ่ลัทธินี้ด้วยความหวังดีให้แก่สารพัดญาติทั้งทางฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ หลายๆ คนเชื่อและไปเปลี่ยนชื่อตามแม่เราก็เยอะ โดยพื้นฐานแม่เราเป็นคนจิตใจดีและค่อนข้างใสซื่อ เขาเลยอินมาก เขาอยากให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีจริงๆ
advertisement
![หมอดู-4](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2020/05/หมอดู-4.jpg)
(ซึ่งเรารู้สึกอายทุกครั้งที่แม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เราไม่เคยเชื่อ แต่เราไม่เคยห้ามแม่ ไม่เคยโต้ตอบ เราแค่ freeze ไปเพราะทำตัวไม่ถูก กระนั้นเองแม่เราก็ยังต่อว่าเราว่า "เธอมันเด็กหัวดื้อ เธอมันก็เหมือนยัยพี่ X (ชื่อลูกหมอดู)" ซึ่งลูกของหมอดูเองก็มองว่าแม่เสแสร้ง และเป็นคนเก็บกด)
– หมอดูคนนี้เกือบฆ่าพ่อเรายังไง? เรื่องของเรื่องคือมีอยู่วันหนึ่งพ่อเราเส้นเลือดในสมองตีบ นั่งลงไปบนเก้าอี้แล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีกเลย หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรงไปครึ่งตัว ด้วยความกลัวโรงพยาบาล (เพราะพ่อมีลูกพี่ลูกน้องที่เพิ่งเสียไปจากการเข้ารพ.ทันทีเพราะโรคหลอดเลือดหัวใจ) พ่อเลยตัดสินใจไปให้หมอดูคนนี้รักษา ***ซึ่งเขาเองก็รักษาไม่ได้แต่ไม่พูด ทำเป็นไก๋ว่ารู้แล้วก็นวดๆ ไป แล้วเอาพ่อเราเข้าตู้อบเซาว์น่า***
ผ่านไปเดือนนึงพ่อเราเปลี่ยนใจไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฎว่าเป็นความดันสูงและเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่ง
1) พ่อเราอาจช็อกในตู้อบก็ได้
2) เส้นเลือดในสมองตีบรักษาหายได้หากคุณไปโรงพยาบาลภายใน 72 ชั่วโมงแรกที่น็อก
พอหมอดูคนนี้รู้ว่าแม่พาพ่อไปโรงพยาบาลเขาก็โกรธมาก มิตรภาพ 8 ปีของพวกเขาก็สูญสิ้นราวกับหายไปในอากาศทันที พ่อเราเองก็ยังคงรักษาอาการอัมพฤกษ์อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้และเขาเองก็ซึมเศร้า
แม่เราพื้นเพเป็นคนตจว.มาจาก lower middle class ถึงจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว แต่ก็ยังชอบคบค้าสมาคมกับชาว lower middle class ด้วยความเคยชิน ซึ่งคนเหล่านี้มักปากกัดตีนถีบ มีดราม่า ความเครียด ความกดดันทางเศรษฐกิจ และความเชื่องมงายต่างๆ ในชีวิตค่อนข้างเยอะ ซึ่งการเป็น upper middle class แต่ไปสมาคมกับ lower middle class มันก็จะมีแต่คนที่ยุแยงให้ครอบครัวเราแตกแยก คอยจับผิดด้วยความอิจฉาริษยาไง เพราะเราฐานะดีกว่าเขา
พ่อเรามีหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จ และน้องเรากับเราเองค่อนข้างเรียบร้อย ไม่เที่ยว อ่านหนังสือ วาดรูป ถึงกระนั้นแม่เราก็ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขามี คอยหาเรื่องว่าเรา จับผิดเรา เพียงเพราะฟังคนอื่นมากเกินไป (และพูดดีๆ ก็ไม่ฟัง เช่น ขอให้ปิดวิทยุการเมืองเพราะฟังแล้วเครียด มันหลอนเข้าไปในหู ทีวีเสียงดังจนอ่านหนังสือสอบไม่รู้เรื่องก็บอกว่าเราเห็นแก่ตัว พอเหวี่ยงพอวีนก็หาว่าเอาแต่ใจ พูดดีๆ ไม่เป็นหรอ เอ้า! พูดดีๆ กี่ครั้งแล้วล่ะ แถมวันดีคืนดีก็ชอบไปรับปากเพื่อนว่าเราจะเขียนเอสเสภาษาอังกฤษให้ลูกเขา แปลนู่นแปลนี่งี้)
นิสัยส่วนตัวเราเป็นคนพูดตรง อ่านสีหน้าคนไม่ค่อยเก่ง และนิสัยเหมือนฝรั่งมากกว่าเพราะว่าเราโตมากับการอยู่คนเดียวในห้อง พ่อแม่ไม่ค่อยว่าง แถมเวลาที่อยากให้แม่อยู่เป็นเพื่อนเพราะกลัวผีแม่ก็มักจะชอบว่าว่าเรา "ชอบยืมจมูกคนอื่นหายใจ" เลยตั้งใจตั้งแต่เด็กว่าจะต้องอยู่คนเดียวให้ได้
(ก็เป็นปัญหาในโรงเรียนกับมหา'ลัยอีก เพราะคนอื่นจะมองว่าผิดปกติที่เราชอบไปไหนมาไหนคนเดียวทั้งๆ ที่ก็เข้าสังคมเป็น เราเป็น high achiever และกล้าแสดงออกด้วยเลยโดนแบนโดนบูลลี่อีก ซึ่งพอคุยกับพวกเขาจริงๆ คือ เขาอยากให้เราเจ๊าะแจ๊ะกับเขาบ้าง คุยเรื่องไร้สาระบ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้เลย คือ "พ่อกูป่วย จะเอาเงินเอาเวลาที่ไหนไปล่ะ" เมื่อก่อนนี้เราเคยรู้สึกผิดกับการมีความสุขด้วยซ้ำ เพราะคนในครอบครัวเรายังไม่มีความสุข)
กลับเข้าเรื่อง หมอดูคนนี้ก็เช่นกัน เขาเลิกกับสามี มีลูกติดหนึ่งคน และลูกเขาเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จดั่งใจเขา ดังนั้นเวลาที่เขาเห็นครอบครัวเราสมบูรณ์ มีพ่อ มีแม่ มีลูก เขาก็จะยุแยงให้ครอบครัวเหล่านั้นต้องเลิกรากัน ซึ่งทุกคนในสมาคมแม่บ้านอกหักจากชีวิตครอบครัวหมดและมีที่พึ่งทางใจเป็นหมอดูคนนี้ ตอนนั้นพ่อเรามีกิ๊กแล้วแม่เราจับได้ก็ไปเล่าให้หมอดูฟัง ทำให้เราโดนหมอดูคนนั้นต่อว่าว่า "ทำไมไม่รู้จักช่วยแม่ ทำไมไม่ยืนข้างแม่ ตอนแม่ทะเลาะกับพ่อ เดินเข้าห้องน้ำไปทำไม" แต่เราแค่แบบอายุ 11-12 อ่ะ
กี่ครั้งกี่หนแล้วที่แม่เราไม่เคยลุกขึ้นเพื่อปกป้องเราเลย ไม่ยืนข้างในสิ่งที่ถูก เป็น people pleaser ที่กลัวแต่คนอื่นจะตัดสินตัวเอง และกดดันให้ลูกเป็น people pleaser เหมือนตัวเอง ถึงจะเข้าใจว่าแม่มีชีวิตในวัยเด็กลำบากมาก เป็นซินเดอเรลล่าตัวจริงที่อาศัยบ้านญาติ บ้านคนรู้จักอยู่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งเลี้ยงตัวเองในกรุงเทพฯ ได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาทดแทนบาดแผลของการไม่มีแม่ของเราได้ บางทีเรารู้สึกด้วยซ้ำว่าแม่เราไม่มีตัวตนอยู่จริง
สุดท้ายนี้ขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้แก่ทุกคนเป็นอุทธาหรณ์ในการเลี้ยงลูก อย่าได้คิดที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับวงการหมอดู ถ้าชีวิตคุณไม่ดีไปหา life coach หรือ นักจิตวิทยาเสียยังจะดีกว่า ลองซื้อหนังสือมาอ่านหรือจะฟังพอดแคสต์ ฟังยูทูปก็ได้ หมั่นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเอง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดีและนอนให้เต็มอิ่ม อย่าไปล่วงรู้อดีตหรืออนาคตแล้วมาทำให้ปัจจุบันเสีย
และธุรกิจหมอดูควรได้รับการควบคุมจากภาครัฐ เพราะเป็นธุรกิจมืดที่ทำเงินมากและส่งผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว
ปล. ทุกวันนี้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นมาก แต่งงานแล้วและกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร เราก้าวข้ามเรื่องร้ายๆ มามากจนรู้สึกเติมเต็มในหลายๆ ด้านในชีวิต ที่มาเล่านี้ไม่ใช่เพราะว่าเราเนรคุณต่อครอบครัวของเรานะคะ ไม่อยากให้คิดแบบนั้นเลย เพราะว่าเขาเองก็มีสิ่งที่พิเศษกว่าครอบครัวอื่นๆ เช่น มีเงินก้อนให้ไปตั้งชีวิตหลังเรียนจบ และค่อนข้างตามใจเมื่อเทียบกับครอบครัวไทยทั่วๆ ไป
(เราถูกวินิจฉัยว่าเป็น complex PTSD และมีอาการ panic attack ทุกครั้งที่อยู่ใกล้คนในครอบครัว ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องร้ายๆ มาเล่าให้ฟังอีกหรือเปล่าหรือจะจู้จี้จุกจิกไม่ทรีทเราเป็นผู้ใหญ่สักที เช่น มาพูดเกลี้ยกล่อมให้เราตัดผม ทั้งๆ ที่เรา 25 แล้ว ตลอดชีวิตแม่เราเห็นเราผมยาวไม่ได้เลย จะต้องพาไปทำอะไรสักอย่างที่ร้านเพื่อแสดงความห่วงใย แถมจะทำสีก็ไม่ได้ พอบอกว่าไม่เห็นด้วยก็งอน หาว่าไม่รักเขา)
จริงๆ แล้วเขาก็รักลูกในแบบของเขานั่นแหละ จะมีก็แต่ปัญหาของพ่อแม่ที่มาลงที่ลูกจนกลายเป็นความเครียดสะสม ซึ่งถึงจะโตแล้วแต่เราก็ไม่สามารถลืมและก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่เสียที ยิ่งช่วงกักตัวด้วยยิ่งไม่ไหวสุดๆ
ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 1386402