สาระน่ารู้เกี่ยวกับนมสด..ที่คุณควรจะต้องรู้!!
advertisement
1.บทบาทของวิตามินแต่ละชนิดในนมสด
วิตามินแต่ละชนิดที่อยู่ในนมมีบทบาทสำคัญดังนี้
-วิตามิน A มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย และ ช่วยในการมองเห็น
-วิตามิน B1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
-วิตามิน B2 ช่วยป้องกันโรคปากนกจอก กระตุ้นและควบคุมการทำงานใร่างกายให้เป็นปกติ
-วิตามิน D ช่วยดูดซึมแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส และเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
-วิตามิน E ช่วยให้ผนังเซลล์แข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส ป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อ และมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
2.นมพาสเจอร์ไรส์ นมสเตอริไลซ์ และนมยูเอชที ต่างกันอย่างไร
-นมพาสเจอร์ไรส์ ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 63 องศาเซลเซียส และคงอยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือทำให้ร้อนไม่ต่ำกว่า 72 องศาเซลเซียส และคงที่ไว้ไม่น้อยกว่า 16 วินาที แล้วทำให้เย็นลงทันที่ที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่านั้น นมชนิดนี้อร่อย มีคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุด แต่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นและเก็บได้นานเพียงสามวัน เพราะกรรมวิธีการพาสเจอร์ไรส์นั้น สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เมื่อเก็บนมสดไว้นานเกินกำหนด เชื้อจุลินทรีย์ที่ยังคงเหลืออยู่ ก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนทำให้นมเสียได้
-นมสเตอรีไลซ์ คือนมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาที่เหมาะสมและต้องผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกันเสียก่อน นมชนิดนี้เก็บได้นานมากกว่า 1 ปีโดยไม่ต้องแช่เย็น เพราะเชื้อจุลินทรีย์ถูกทำลายหมดด้วยความร้อนของระบบสเตอริไลซ์ โดยที่ไม่ทำให้คุณภาพของน้ำนมเปลี่ยนแปลงมากนัก
-นมยูเอชที คือนมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ต่ำกว่า 133 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 1 วินาที ทั้งนี้ต้องผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกันเสียก่อน บรรจุในภาชนะและสภาวะที่ปราศจากเชื้อ สามารถเก็บไว้ ณ อุณหภูมิห้องได้นานกว่าหกเดือน โดยไม่เสีย
[ads]
advertisement
3.นมพร่องมันเนย คือ
นมพร่องมันเนย คือนมที่ผ่านกระบวนการนำไขมันออกไปเพียงบางส่วน ทำให้ปริมาณไขมันลดลง เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมปริมาณไขมัน
4.วิธีการเก็บรักษานมสดพาสเจอร์ไรส์ ทำอย่างไร
-ควรเก็บรักษานมในอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียสตลอดเวลา
-ควรบริโภคให้หมดภายใน 2 วัน หลังจากเปิดขวดแล้ว
-นมที่ซื้อมาหรือนำมาดื่มแล้ว ควรนำเก็บเข้าตู้เย็นโดยเร็ว
-ไม่ควรดื่มนมจากปากขวด (ยกเว้นดื่มหมดภายในครั้งเดียว)
5.ควรจะดื่มนมปริมาณเท่าไร จึงจะพอเหมาะกับร่างกาย
-วัยเด็ก ( อายุ 1-12 ปี ) ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว
-วัยหนุ่มสาว ( อายุ 13 – 25 ปี ) ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 4 แก้ว
-วัยผู้ใหญ่ ( อายุ 25 ปีขึ้นไป ) ควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว
( นม 1 แก้ว ปริมาณ 200 ซีซี )โดยเฉลี่ยแล้วทุกคนควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว แต่ถ้าเป็นสตรีมีครรภ์ หรือหลังคลอดบุตรควรดื่มไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว
6.เด็กอายุเท่าไร จึงจะดื่มนมสดพาสเจอร์ไรส์ได้ (ใช้เลี้ยงทารกได้หรือไม่)
นมสดพาสเจอร์ไรส์ ควรใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ขวบ เพราะองค์ประกอบของนมวัวไม่เหมือนกับน้ำนมแม่ ซึ่งจำเป็นสำหรับทารกแรกเกิด ถึง 1 ปี นมแม่ เป็นนมที่เด็กทุกคนควรได้รับ เพราะนอกจากจะมีคุณค่าสารอาหารอย่างครบถ้วนที่เหมาะสมกับเด็กๆ มากกว่านมชนิดใดๆ แล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ในน้ำนมด้วย
7.เมื่อเลิกดื่มนมแม่แล้ว เด็กยังควรดื่มนมต่อไปหรือไม่
ยังควรดื่มต่อไป เพราะน้ำนมมีประโยชน์ช่วยเสริมสร้างสุขภาพสำหรับทุกคน( สำหรับเด็กที่เพิ่งหย่านมแม่จนถึงอายุ 3 ขวบนั้น ควรให้ดื่มนมที่ระะบุว่าเหมาะสมสำหรับเด็กกลุ่มนี้จะดีกว่า เพราะมีการปรับแต่งสูตรให้เหมาะสมกับเด็กกลุ่มนี้ ) สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อย หรืออายุตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป การดื่มนมสดพาสเจอร์ไรซ์จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาร่างกายให้เจริญเติบโตแข็งแรง
8.สาเหตุที่บางคนดื่มนม แล้วเกิดอาการท้องเสีย
สาเหตุที่ดื่มนมแล้วเกิดอาการท้องเสียนั้น เนื่องจากบางคนไม่มีเอนไซม์แลคเตสในลำไส้ จึงไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ทำให้เกิดอาการท้องอืด เกิดแก๊สในกระเพาะขึ้นหรือเกิดอาการท้องเสียขึ้นได้ วิธีการแก้ไข คือให้เริ่มดื่มนมทีละน้อย ๆ แล้วค่อย ๆเพิ่มปริมาณขึ้น ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้สร้างเอนไซม์แลคโตสขึ้นมาได้ หากแก้ไขด้วยวิธีนี้ไม่ได้ผล แนะนำให้ทานโยเกิร์ต / โยเกิร์ตพร้อมดื่ม
advertisement
9.ดื่มนมสดแล้วอ้วนจริงหรือไม่
ดื่มนมแล้วไม่อ้วน เนื่องจากว่าในนมสดมีไขมันเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น คนที่อ้วนส่วนมากมีสาเหตุจากการรับประทานอาหารมัน อาหารที่มีรสหวาน และชอบรับประทานขนมจุกจิกมากกว่า แต่ถ้าอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักและอยากดื่มนมสด แนะนำให้ดื่มนมสดพร่องมันเนย หรือนมปราศจากมันเนย
10.วัยใดที่ควรดื่มนมเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก
วัยที่ควรดื่มนมเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก คือคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือวัยหมดประจำเดือนเพราะวัยนี้เป็นช่วงที่สูญเสียแคลเซียมในปริมาณมาก ดังนั้นต้องดื่มนมเพื่อช่วยลดการสูญเสียแคลเซียมแล้วช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่บาง เปราะ หักง่ายและควรดื่มอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วถ้าจะให้ดีควรออกกำลังกายควบคู่กับการทานนมด้วย
11.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับนมวัว ที่ผู้บริโภคควรทราบ
นมสดในบ้านเราจะมีรสชาติเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล จะสังเกตุได้ชัดเจนในนมสดรสจืด และนมสดพร่องมันเนย เพราะไม่มีกลิ่นรสอื่นคอยกลบกลิ่นรสที่แตกต่างนั้น ฤดูกาลที่ต่างกันจะมีผลต่อชนิดอาหารที่แม่วัวรับประทาน เช่น หญ้าเปียกหรือหญ้าแห้ง ซึ่งมีผลต่อคุณภาพของน้ำนม สถานที่เลี้ยงและวิธีการเลี้ยงก็มีผลต่อคุณภาพของน้ำนมเช่นเดียวกัน ผู้บริโภคบางท่านอาจพบว่านมสดยี่ห้อเดียวกันบางครั้งทานอร่อย แต่บางครั้งทานแล้วก็เฉย ๆ ก็คงต้องทำความเข้าใจว่านมสดแท้รสชาติจะแปรปรวนบ้างขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ กันตามที่ได้กล่าวมา แต่หากเป็นนมผงละลายน้ำมีการแต่งกลิ่นแล้วรสชาติค่อนข้างสม่ำเสมอ
[yengo]
12.จะรู้ได้อย่างไรว่าแค่ไหนเรียกว่าอ้วน
การที่จะดูว่าอ้วนหรือไม่นั้น มีวิธีการได้หลายวิธี อย่างเช่น การดูค่าดัชนีมวลกาย คือดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) = [น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)] / [ ส่วนสูง (เมตร)2]โดยค่าปกติอยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9 กิโลกรัม/ต่อตารางเมตร ถ้าคำนวณออกมาแล้วมีค่า น้อยกว่า 18.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าผอมไป ถ้าอยู่ในช่วง 25-29.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงว่าน้ำหนักเกิน แต่ถ้ามากกว่า 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าเป็นโรคอ้วน
13.ความแตกต่างระหว่างการดื่มนมสด กับโยเกิร์ตพร้อมดื่ม
นมสดกับโยเกิร์ตพร้อมดื่ม แตกต่างกันตรงที่ นมสดเป็นนมที่ให้คุณค่าทางอาหารครบ 5 หมู่ มีแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสมาก จึงช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ร่างกายเติบโตเต็มที่ ส่วนโยเกิร์ตพร้อมดื่มจะมีคุณค่าจากนมโคและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายของผู้ทานให้เป็นปรกติ และยังมีรสชาติของน้ำผลไม้ทำให้อร่อยและน่ารับประทานยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีดีจาก : Dutchmill