หลายคนยังไม่รู้ ไวรัสโควิด-19 ถึงรักษาหายได้ แต่ทำลายปอดพังยับ

      จากสถานการณ์ความรุนแรงของไวรัส โควิด-19 ซึ่งตอนนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น มีผู้ติดเชื้อกระจายไปในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศไทยก็มีผู้ติดเชื้อ และมีผู้เสียชีวิตรายแรกแล้ว ประชาชนพยายามหาแนวทางป้องกันการติดเชื้อ ทั้งการใช้หน้ากากอนามัย ใช้เจลล้างมือ เป็นต้น

       หลายคนรู้ถึงความรุนแรงของโรคนี้ แต่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือ ถึงแม้เราจะรักษาโรคให้หายได้ แต่โรคนี้จะฝากแผลฉกรรจ์เอาไว้ที่ปอด ซึ่งก็ยากที่จะฟื้นฟู ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Pinkamol Reangdet ได้ออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า….

        "ยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้ ผมจะเตือนคนที่ไม่ป้องกันตัวเอง

        " โรคโควิค 19 นี้ ถึงแม้รักษาหายรอดตายมาได้ แต่มันจะทิ้งบาดแผลไว้ในปอด ส่งผลกระทบต่อชีวิตที่เหลือ ให้ลำบากต่อไปอีก และเมื่อกลับมาเป็นอีก ปอดคุณก็อ่อนแอ เหลือเกิน ตายครับตาย "

         หลายคนคิดว่า ปอดเป็นอวัยวะที่ฟื้นฟูได้ แต่ต้องเป็นการฟื้นฟูได้ในระดับพื้นผิว (ไวรัสตัวนี้ โควิด 19 สามารถลงไปที่ปอดลึกๆก่อน ไม่ใช่แค่ที่ระดับผิวปอด ที่สามารถฟื้นฟูปอดกลับมาเหมือนเดิมได้ ปอดเป็น 1 ใน 7 อวัยวะที่ฟื้นฟูได้เอง แต่ฟื้นฟูได้ในความเสียหายระดับพื้นผิวปอด ครับ)แต่เชื้อโรคโควิด 19ไม่สามารถฟื้นฟูที่เสียหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ เพราะไม่ได้ทำลายที่ระดับผิวเหมือนการสูบบุหรี่ ที่ปอดสามารถฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิมเพราะก่อปัญหาในระดับพื้นผิวของปอดแค่นั้น

         การทำลายล้างปอดของควันบุหรี่ และเชื้อไวรัสตัวนี้ ต่างกันมาก และใช้เวลาต่างกันมาก เชื้อไวรัสโควิด 19 เมื่อเข้าสู่เซลล์ปอดจะขยายตัวแบบทวีคูณ และไม่ใช่โรคที่หายได้เอง เหมือนการหยุดสูบบุหรี่หรือโรคหวัดทั่วไป ผู้ป่วย โควิด-19 เสียชีวิต คนแรกของเมืองไทย พบประวัติเป็นพนักงานขาย ไม่มีโรคประจำตัวใด ๆ ได้รับยา favipiravir แต่เนื้อปอดโดนทำลายหมด ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

          "พยาบาลที่เข้าไปดูแลในวันแรกติดเชื้อไวรัสนี้ไปด้วย และมีปอดบวมรุนแรงทั้งสองข้าง แต่ได้รับยาทันและกลับบ้านไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามมีเนื้อปอดที่เสียหายอยู่ระดับหนึ่ง ""

          สิ่งที่เราทำกันได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ ป้องกันตนเองจากการรับเชื้อ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ใช้เจลล้างมือชนิดที่มีแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป และไม่เดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงค่ะ

เรียบเรียงโดย : kaijeaw.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก Pinkamol Reangdet