ระบาดหนัก!! “โรคมารยาททางสังคมบกพร่อง” น่ากลัวแถมลุกลามหนักถึงไทยแล้ว
advertisement
เป็นโรคใหม่ที่พบระบาดในมนุษย์วัยทำงาน ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เป็นโรคที่กำลังระบาดอย่างหนักในสังคมไทยที่อยู่ในยุคของการแก่งแย่งชิงดี ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะไม่รู้ว่าตนเองเป็น ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับอาการของโรคนี้เพื่อนำไปเช็คตัวเราและคนรอบข้างว่าใครบ้างที่กำลังติดเชื้อโรคระบาดนี้
ขั้นที่1-อาการเริ่มต้น
ผู้ป่วยจะมีอาการไม่ตอบสนองต่อปฏิสัมพันธ์รอบข้าง เช่น การทักทาย การขอบคุณ หรือความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่จะมีการตอบสนองไวมากต่อสิ่งเร้าในทางลบที่ต้นเองรู้สึกไม่พอใจ จะมีการตอบสนองทันทีด้วยการ วีน เหวี่ยง [ads]
ขั้นที่2-ขั้นกลางของโรค
ผู้ป่วยจะไม่สามารถแสดงออกถึงมารยาทพื้นฐานทางสังคม เช่น การขอบคุณ ทักทาย ขอโทษ หรือไม่สามารถช่วยเหลือแสดงน้ำใจต่อผู้อื่นโดยปราศจากผลประโยชน์ได้ แต่จะมีความสามารถในการว่าร้าย นินทา แย่งซีนคนอื่น ความสามารถเหล่านี้จะมีมากขึ้น
ขั้นที่3-ระยะสุดท้ายของโรค
ผู้ป่วยจะมีการต่อต้านทางสังคมมากขึ้น ความมีเหตุผลจะหายไป มีความเห็นแก่ตัวและเชื่อมันแต่เหตุผลของตัวเองมากขึ้น อาการภายนอกที่แสดงออกมาเช่น หน้าตาบูดบึ้งตลอดเวลา บุคลิกเปลี่ยนไป มีแรงกระตุ้นที่จะต่อต้านกติกามารยาททางสังคม มักแสดงกิริยาวาจาก้าวร้าวต่อผู้ที่ทำดีกว่าตน หรือทำดีต่อตน เช่น การลุกให้นั่ง เปิดประตูให้ ฯลฯ ผู้ป่วยโรคนี้จะมองว่าสร้างภาพ โลกสวย
บุคคลที่เข้าข่ายเป็นโรค
ประเภทแรกคือ บุคคลที่ชอบคิดว่าตัวเองสำคัญที่สุดในโลก คิดว่าตัวเองเป็นศูยน์กลางจักรวาล ไม่ต้องการลดตัวไปทำดีกับใคร แต่คิดว่าเป็นหน้าที่ของคนรอบข้างที่ต้องมาทำดีกับตน
ประเภทที่สองคือ พวกมีปมที่ชอบดูถูกตัวเอง จึงชอบที่จะนำความรู้สึกแย่ๆไปสู่คนอื่นเพื่อความสะใจ หรือชอบอวดตัวเองในด้านที่ไม่ควรอวด
ความร้ายแรงของโรค
ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย สังคมรังเกียจ อาจถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม [yengo]
การรักษา
-การยิ้ม
-หัดพูดคำว่า "ขอบคุณ ขอโทษ ไม่เป็นไรค่ะ/ครับ" อย่างจริงใจให้เป็นนิสัย
-นึกถึงใจเขาใจเราให้มากขึ้นว่าถ้าตนเป็นผู้ถูกกระทำแย่ๆด้วยจะรู้สึกอย่างไร
-หากเจอผู้ป่วยประเภทเดียวกันให้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า "ช่างแมร่ง" เพื่อหลีกเลี่ยงการดราม่าและติดเชื้อหนักเข้าไปอีก
-นั่งสมาธิ นำคำสอนของพระพุทธศาสนามานำใจในการใช้ชีวิต
-ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายควรงดใช้สื่อโซเชียลสักระยะ ป้องกันนิสัยชิงดีชิงเด่น เรียกร้องความสนใจจะลุกลาม และควรออกไปมีเพื่อนนอกโลกโซเชียลที่มีความปกติทางจิตบ้าง หากครึ่งปียังไม่หายควรพบจิตแพทย์
เป็นโรคที่น่ากลัวจริงๆค่ะ ที่สำคัญคือผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะไม่ยอมรับว่าตนเป็น จึงเป็นปัญหาสังคมที่นำไปสู่ความขัดแย้ง
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com