เปิดจดหมาย ‘น้องโยโย่’ ครอบครัวกดดัน ทำอะไรก็โดนด่า ใช้เยี่ยงทาส พ่อแม่ควรอ่านเป็นอุทาหรณ์
advertisement
จากกรณีที่ "น้องโยโย่" เด็กหญิงวัย 14 ปี หายไปจากโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ก่อนจะพบตัวว่าไปอยู่กับพ่อของเพื่อน วัย 52 ปี และน้องเองก็ไม่พร้อมที่จะกลับบ้าน เนื่องจากมีปมปัญหาในครอบครัว ทำให้หลายคนตำหนิน้องไปในทางลบ
ล่าสุด โลกโซเชียลได้มีการเปิดภาพจดหมายที่น้องโยโย่เขียนถึง "ป๊า" ซึ่งได้อธิบายความในใจ ที่เธอต้องตั้งใจเรียน แต่กลับถูกใช้ให้ขายของที่ตลาด ไปไหนไม่ได้เพราะต้องคอยเลี้ยงน้อง แม่ก็คอยจับผิด คอยด่าเธอบ่อยๆ โดยเธอได้ใช้คำว่า ประเทศไทยเลิกทาสไปนานแล้ว[ads]
จากเนื้อความจดหมาย ทำให้หลายคนฉุกคิดได้ว่า กรณีจดหมายระบายความในใจของน้อง ครอบครัวมีส่วนกดดันให้น้องไม่มีความสุขที่จะอยู่บ้าน ซึ่งเป็นอุทาหรณ์ให้กับหลายครอบครัวที่มีการกดดันลูกไปในทิศทางต่างๆ และชอบใช้ความรุนแรงจากคำพูดทำร้ายเด็ก เฟซบุ๊กเพจ อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ว่า
advertisement
อันเนื่องมาจากวันเด็ก กับ จดหมายจากน้องโยโย่ จดหมายที่ผู้ใหญ่ควรอ่าน
ก่อนอื่นอยากให้อ่านจดหมายของน้องโยโย่กันก่อนนะครับ ใจความมีประมาณนี้
“ป๊าหนูว่าต้องเข้าใจหนู หนูตั้งใจเรียนก็ไม่เห็นมีผลอะไร สุดท้ายก็ต้องไปขายของที่ตลาดไม่รู้จะตั้งใจเรียนไปทำไม
แล้วก็ไม่รู้ทำไมแม่ชอบหาเรื่องหนูตลอดเวลา ไม่รู้โมโหไรหนูหนักหนา ทำอะไรก็ผิดไปหมดแล้วมาบอกว่าให้เลี้ยงน้องจนโตแล้วคอยเลี้ยงหลานอีกจนโต เหมือนหนูติดคุกตลอดชีวิตเลย
ประเทศไทยเลิกทาสแล้วหนูไม่อยากอยู่แบบนี้หรอก จะออกความคิดเห็นก็ไม่ได้ แม่ชอบว่า มีแต่หาเรื่องด่า แล้วก็ชอบหาว่าสิ้นเปลือง เรียนเก่งก็ไม่ชอบ พอออกความคิดเห็นก็โดนว่า พอไม่พูดแม่ก็บอกว่ามีปากไม ทำไมไม่พูดหมายความว่าอะไร
แม่ชอบคุยว่าอายุ 12 ก็หาเลี้ยงตากับยายแล้ว หนู 14 แล้วหนูจะหาเลี้ยงตัวเองให้ได้ ถ้าหนูมีเงิน มีบ้านหนูจะกลับมารับป๊าไปดูแล ให้นอนพักสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ ป๊าต้องเชื่อแล้วไว้ใจหนูมั้งนะ ป๊าไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องตามหนู รักป๊ามากๆ นะ รักแม่เหมือนกันถึงจะมองหนูแปลกๆ ในระยะหลังๆ ก็ตาม พอขอไปเที่ยวไหนกับเพื่อนแม่ก็ชอบพูดว่าต๊องอยู่บ้านเลี้ยงน้อง ไปไม่ได้”
จากข่าวน้องโยโย่ หลายคนก็บอกว่าเด็กโดนหลอกบ้าง เด็กใจแตกบ้าง หลายๆคนก็ตัดสินกันไปต่างๆนาๆ แต่ถ้าจะให้โทษ ผมเองก็นึกไม่ออกว่าจะโทษใคร แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้อ่านมากก็คือ จดหมายที่เด็กเป็นคนเขียนเอง โดยเฉพาะจดหมายจากน้องโยโย่ฉบับนี้ แทบจะบอกแทนความรู้สึกของเด็กไทยจำนวนมากที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ทั้งรอบของสังคม ครอบครัว ไปจนถึงกรอบการศึกษา ทีทุกคนเองเหมือนจะเดินวนกันอยู่ในกรอบ หาทางออกไม่ได้ นอกจากเดินชนกรอบ และก็หาคนผิดไม่เจอ
น้องโยโย่บ่นว่า เรียนจบไปก็ต้องไปขายของในตลาด เรียนเก่งไปพ่อแม่ก็ไม่ชอบ ทำอะไรก็ผิดก็โดนบ่น แม่ชอบยกตัวเองมาบอกว่าตอนอายุ 12 ก็ทำงานหาเลี้ยงน้องได้แล้ว สรุปคือเอาจริงๆ สิ่งที่น้องโยโย่บ่นก็แทบจะครอบคลุมปัญหาทุกอย่างของสังคมไทยหมดแล้ว
เด็กที่บ้านมีฐานะไม่สู้ดี มีภาระเลี้ยงดูลูกหลายคนมองการส่งเสียให้เด็กไปเรียนว่าเป็นภาระ ด้วยคุณภาพการศึกษา หลายคนมองว่าเรียนจบไปก็ได้งานที่ไม่คุ้มกับที่ส่งเสียไป ไปๆมาๆ สู้ไม่ต้องไปทำงาน ขายของอยู่กับบ้านดีไม่ดียังช่วยเหลือทางบ้านมากกว่าจริงไหม? เอาจริงๆ การศึกษาบ้านเรานี่เลิกพูดเรื่องปริญญาตรีข้ามไปปริญญาโทเลย ผมบอกตรงๆ คนจบโทในประเทศหลายคนยังดูงงๆกับชีวิตอยู่เลย เหมือนเรียนให้จบโทไปเพื่อปรับฐานเงินเดือนแค่นี้จริงๆ แต่แทบไม่ได้เพิ่มศักยภาพอะไรในการทำงานเลย จริงไหม
ถ้าหนูมีเงิน มีบ้านหนูจะกลับมารับป๊าไปดูแล ให้นอนพักสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ ป๊าต้องเชื่อแล้วไว้ใจหนูมั้งนะ ป๊าไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องตามหนู <<<<< อ่านแล้วน้ำตาซึม เฮ้ย ถึงเด็กมันจะหนีไป มันยังไปด้วยความหวังนะว่ามันจะกลับมาดูพ่อดูแม่ ผมว่าเด็กทุกคนอยากเป็นเด็กดีอยากเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ทั้งนั้น แต่สังคมครอบครัวการศึกษาไม่เอื้อเลย ทำไมสะเทือนใจแบบนี้วะ
กลับมาที่บ้านน้องโยโย่ดีกว่า ผมว่าสภาพสังคมไทย กรณีศึกษาน้องโยโย่นี่ยังมีอีกหลายแสนคนะครับ เด็กที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มองไม่เห็นอนาคตอะไรเลย เรียนให้สูงเรียนให้เก่งในสภาพการศึกษาที่รัฐบาลแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ไม่ได้มีความจริงใจที่จะอยากให้คนในชาติฉลาดสักเท่าไหร่ คนชั้นปกครองบ้านเราไปๆมาๆก็ไม่พ้นลูกคนรวย ลูกนักธุรกิจ ที่เรียนจบสูงๆจากเมืองนอกกลับมาเป็นคนเลือดใหม่ ลงการเมือง และก็กลับมาเป็นคนบริหารประเทศ คนจนก็จนต่อไป ผมนึกอนาคตบ้านเราแทบไม่ออกจริงๆ
วันเด็กปีนี้อย่าเพิ่งไปเห่อดูภาพนายกตอนเด็ก อย่าเพิ่งไปตื่นตาตื่นใจกับไดโนเสาร์ในทำเนียบ
เนื่องในวันเด็กนีผมเองก็ไม่รู้จะมีอะไรมาฝากนอกจาก จดหมายจากน้องโยโย่นี่แหละ หวังให้คนที่มีอำนาจบริหารประเทศมองว่า นี่คือเสียงร้องจากเด็กชาวบ้านคนนึง ที่เค้าร้องต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อโรงเรียน ต่อระบบการศึกษา ไม่อยากให้มองว่าเป็นแค่เด็กโดนลักพาตัวหรือข่าวเด็กใจแตกหรือข่าวล่อลวงธรรมดาเลย อะไรที่มันมีเหตุมันก็ต้องมีผลครับ
ปล. ไม่ได้อยากให้ไปโทษคุณแม่หรือครอบครัวของน้องนะครับเพราะว่าแต่ละครอบครัวกว่าจะมีวันนี้มันต้องผ่านการพิสูจน์และผ่านเวลาผ่านประสบการณ์อะไรมามากมายความกดดันของแต่ละครอบครัวก็ไม่เท่ากันเชื่อว่าสุดท้ายพ่อแม่ก็รักลูกนั่นแหละ
advertisement
ความคิดเห็นจากชาวเน็ต
advertisement
advertisement
advertisement
advertisement
พ่อแม่ ย่อมอยากให้ลูกได้ดี ย่อมคาดหวังในตัวลูก แต่บางครั้ง ความหวังดี การคาดหวังที่กลายเป็นความกดดันในตัวเด็ก อาจส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจเด็กได้ ซึ่งจดหมายระบายความในใจของน้อง สะท้อนได้ดีเลยว่า การเลี้ยงลูกด้วยความคาดหวังกดดัน ส่งผลอย่างไรต่อความคิดของเด็ก
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก อวยไส้แตกแหกไส้ฉีก