เผยคลิปนาที เรือคอนเทนเนอร์ยักษ์ เอฟเวอร์ กิฟเว่น เกยตื้น
advertisement
ทางเว็บไซต์ เดลี่เมล เผยคลิปที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีติดตามการเดินเรือทางทะเล แสดงให้เห็นนาที เรือคอนเทนเนอร์ยักษ์ ‘เอเวอร์ กิฟเวน’ เกยตื้น ขวางคลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสายสำคัญระหว่างทะเลแดง กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่งผลให้เรือลำอื่นๆกว่า 200 ลำ ขณะนี้ถูกบล็อกทางเรือสัญจรทั้งหมดแล้ว ซึ่งเรือคอนเทนเนอร์ยักษ์ ‘เอเวอร์ กิฟเวน’ ระวางขับน้ำนับ 2.2 แสนตัน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มี.ค ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายเรือลำนี้ออกไปได้
advertisement
โดยจากคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่า เรือเอฟเวอร์ กิฟเวน มีการเปลี่ยนทิศทางอย่างมาก จนติดตื้นขณะกำลังเดินเรืออยู่ในคลองสุเอซ นักวิเคราะห์เข้าใจว่าการที่เรือยักษ์ เอเวอร์ กิฟเวน เปลี่ยนทิศทางมากถึงขนาดนี้มาจากอิทธิพลของกระแสลมที่กระโชกรุนแรงที่พัดระหว่างทวีปแอฟริกากับคาบสมุทรไซนายเมื่อ 5 วันก่อน จนทำให้เรือเอเวอร์ กิฟเวน ซึ่งมีความยาว 400 เมตร หรือสูงเท่ากับตึกเอ็มไพร์สเตท เกิดติดตื้นที่บริเวณห่างจากปากทางเข้าคลองสุเอซทางใต้ มาประมาณ 3.7 ไมล์ จนทำให้เรือสินค้ากว่า 200 ลำต้องติดชะงัก และต้องรอจนกว่าปฏิบัติการกู้เรือเอเวอร์ กิฟเวน จะสำเร็จ ทำให้กำลังส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียกับยุโรปอย่างมาก
advertisement
ด้านหน่วยงานบริหารจัดการคลองสุเอซ (Suez Canal Authority)ของอียิปต์ เผยว่ากำลังมีแผนจะพยายามกู้เรือเอฟเวอร์ กิฟเวน โดยกำลังพิจารณาที่จะดำเนินการลำเลียงย้ายตู้คอนเทนเนอร์ออกจากเรือ เพื่อให้เรือเอฟเวอร์ กิฟเวน เบาลง ในขณะที่มีการระดมเรือลากจูงอย่างน้อย 10 ลำมาช่วยในการลากเรือออกจากที่บริเวณจุดที่เรือติดตื้นที่มีการใช้รถขุดทรายออก [ads]
advertisement
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า สหรัฐฯมีอุปกรณ์และศักยภาพเหนือกว่าชาติส่วนใหญ่ที่มี และกำลังดูว่าสหรัฐฯ สามารถจะช่วยคลี่คลายวิกฤติเรือขวางคลองสุเอซในครั้งนี้ เพื่อให้การขนส่งสินค้าของโลกเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องจากขณะนี้มีรัฐบาลหลายประเทศ และบริษัทหลายแห่งเตือนถึงผลกระทบในความล่าช้าของสินค้าจากเอเชียมายังยุโรป
advertisement
สำหรับการกู้ซากเรือครั้งนี้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากและ ยังส่งผลกระทบกับหลายๆประเทศ ทำให้ต้องวางแผน และความร่วมมือกันในหลายๆประเทศด้วย
ขอขอบคุณที่มาจาก : dailymail.co.uk