เตือนระวัง..!! โรคร้ายที่มากับลมหนาว พบมากในเด็กเล็ก ถ้าไม่ได้รับวัคซีนป้องกัน!!
advertisement
คุณพ่อพาน้องเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 10 ปี มาปรึกษาหมอ ด้วยอาการผื่นแดงเป็นปื้นๆ ทั่วตัว มา 3-4 วัน คันเล็กน้อย โดยผื่นเริ่มจะขึ้นที่หน้า บริเวณไรผม แล้วแผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา ร่วมกับมีไข้ ไอ น้ำมูก ตาแดง หลังจากที่ได้ซักถามประวัติ และตรวจร่างกายเพิ่มเติมแล้ว หมอก็ทราบว่า น้องเอ็มเป็นโรคหัด ซึ่งจะเริ่มระบาดในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ นั่นเองค่ะ
โรคหัดคืออะไร
“หัด” เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า rubeola virus เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการไข้ออกผื่นชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ มีอาการไข้ ร่วมกับมีของการติดเชื้อทางเดินหายใจชัดเจน เช่น ไอบ่อย มีน้ำมูกมาก ตาแดง ปากแดง นำมาก่อนที่จะมีผื่นที่ผิวหนัง ซึ่งในระยะแรกผื่นจะมีสีแดง ต่อมาเมื่อใกล้หาย ผื่นจะเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง
โรคหัดมีการติดต่อได้อย่างไร?
โรคหัดสามารถติดต่อกันได้ง่าย เนื่องจากเชื้อไวรัสก่อโรคพบมากในน้ำลาย น้ำมูก และละอองเสมหะของผู้ป่วย เมื่อมีการไอ จาม หายใจรดกัน หรือใช้สิ่งของร่วมกัน เชื้อไวรัสจะ เข้าสู่ร่างกายทางการหาย ใจ บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส เข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้ โรคหัดมักจะพบในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แต่ก็อาจพบได้ประปรายตลอดปี [ads]
โรคหัดพบได้บ่อยในช่วงอายุใด?
โดยทั่วไปโรคนี้จะพบบ่อยในเด็กอายุ 1-6 ปี แต่หลังจากที่ประเทศไทย เริ่มให้วัคซีนป้องกันหัดเป็นวัคซีนสำหรับเด็กในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข (EPI) สำหรับเด็กอายุ 9-12 เดือน ทำให้อุบัติการณ์ของโรคลดลงเป็นอย่างมากในเด็กอายุน้อยว่า 5 ปี ปัจจุบันผู้ป่วยที่พบส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 5 ปีขึ้นไป หรือเด็กที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน
อาการของโรคหัดเป็นอย่างไร?
ช่วงแรกผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไอแห้ง มีน้ำมูก ตาแดง น้ำตาไหล และมีไข้สูงตลอดเวลา อ่อนเพลีย ซึมลงหรือกระสับกระส่าย ร้องกวน หลังจากมีไข้ 3 ถึง 4 วัน จึงจะมีผื่นขึ้น ลักษณะเป็นผื่นแดง รวมตัวกันเป็นปื้น โดยเริ่มเห็นผื่นขึ้นที่บริเวณตีนผมและซอกคอก่อนเป็นอันดับแรก แล้วลามไปตามใบหน้า ลำตัวและแขนขา อาจมีอาการคันเล็กน้อย ประมาณ 2 ถึง 3 วันนับจากวันแรกที่เริ่มขึ้น ผื่นจึงจะจางลง โดยเมื่อผื่นจางลง ก็จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำในช่วงแรก เมื่อเข้าสู่ระยะใกล้หายจากโรค ผื่นจะเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง
advertisement
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ในโรคหัดคืออะไร?
ผู้ป่วยโรคหัดส่วนใหญ่มักจะหายจากโรคได้เองและโดยเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย แต่ก็อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคปอดอักเสบติดเชื้อ โรคอุจจาระร่วง ซึ่งจะพบได้ในเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเป็นโรคขาดสารอาหาร โดยมักพบในระยะหลังของโรค ซึ่งไข้เริ่มทุเลาลงแล้ว [ads]
หากลูกเป็นโรคหัดคุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไร?
เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส และอาการมักจะไม่รุนแรง การรักษาและปฏิบัติตัวของผู้ป่วยจึงเน้นการรักษาตามอาการเหมือน โรคไข้หวัด เช่น เช็ดตัวลดไข้ ทานยาลดไข้ หรือยาบรรเทาอาการอื่นๆ เช่น ยาแก้ไอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถให้การดูแลลูกอยู่ที่บ้านได้ในเบื้องต้น แต่ถ้าหากลูกมีอาการไอมาก เสมหะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเขียว หรือหายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพาลูกไปพบคุณหมอนะคะ
การป้องกันโรคหัดทำได้อย่างไร?
นอกจากการป้องกันโดย หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยแล้ว โรคหัดสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ซึ่งปัจจุบัน เป็นวัคซีนตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องฉีดให้เด็กทุกคน จากเดิมวัคซีนป้องกันโรคหัดจะให้ใน 2 ช่วงอายุ คือ เข็มแรก ให้ในเด็กอายุ 9 – 12 เดือน และกระตุ้นเข็มที่ 2 ในเด็กอายุ 4-6 ปี แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีเด็กอายุ 2 ปี ป่วยเป็นโรคหัดมากขึ้น จึงพิจารณาและเสนอให้เปลี่ยนเกณฑ์การให้วัคซีนเข็มที่ 2 ใหม่เป็นอายุ 2 1/2 ปีแทน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558
ปัจจุบันจึง แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด เข็มแรกที่อายุ 9-12 เดือน และให้ฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 2 1/2 ปี คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปติดต่อขอรับการฉีดวัคซีนโรคหัด ได้ที่สถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านค่ะ
ขอขอบคุณที่มาจาก : th.theasianparent.com