5 โรคอันตรายทำร้ายดวงตา..ที่ต้องระวัง!!
advertisement
เป็นเรื่องธรรมชาติ ยิ่งเราอายุมากขึ้นเท่าไหร่ อวัยวะต่างๆ ในร่างกายของเราก็เสื่อมลงตามกาลเวลาด้วยเช่นกัน รวมทั้ง “ดวงตา” ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของคนเราเป็นอย่างมาก เป็นอวัยวะในการมองเห็นที่สำคัญ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โรคที่เกิดขึ้นกับดวงตานั้น ส่งผลต่อการมองเห็นอย่างคาดไม่ถึง วันนี้ Kaijeaw.com จึงมี 5 โรคตาสำคัญที่ที่ต้องระวัง มาฝากกันค่ะ
advertisement
>>> โรคตาแห้ง
สามารถพบได้บ่อยมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากอายุที่มากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน รวมถึงโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน รูมาตอยด์ ไทรอยด์ ต้อกระจก หรือในคนที่ทำเลสิก ใส่คอนแทคเลนส์มานานนับสิบปี นอกจากนี้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต ก็ทำให้เกิดตาแห้งได้เช่นกัน โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเคือง คัน ไม่สบายตา หรือตาแดงบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่จ้องหน้าจอนานๆ ในบางรายอาจมีน้ำตาไหลตลอดเวลา ซึ่งมักเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยสงสัยเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นตาแห้ง
การรักษาและป้องกัน
– เมื่อมีน้ำตาไหลคือตาแห้ง ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องหยอดน้ำตาเทียมเพื่อรักษาอาการน้ำตาไหลที่เกิดเนื่องจากภาวะตาแห้ง
– กระพริบตาบ่อยๆ ในขณะอ่านหนังสือหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์นานๆ
– ใส่แว่นตากันลม หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นและควัน
– หลีกเลี่ยงการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานๆ เช่นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แทบเลต หรือทีวี
ข้อควรระวัง ในกรณีที่ใช้น้ำตาเทียมแล้ว ยังมีอาการตาแห้งรุนแรงอยู่ แพทย์อาจพิจารณารักษาโดยการอุดท่อน้ำตา เพื่อลดการระบายออกของน้ำตา
[ads]
>>> ภาวะสายตาเสื่อมของแถมผู้สูงอายุ
เนื่องจากอายุเป็นโรคที่เกิดขึ้นบริเวณเนื้อเยื่อของจอตา (retina) ส่วนที่รับภาพตรงกลางของลานสายตาและมีความคมชัดของภาพสูงที่สุด ซึ่งโรคนี้จะทำให้เกิดความคมชัดของภาพสูงที่สุด ซึ่งโรคนี้จะทำให้เกิดความเสื่อมตัวของเนื้อเยื่อดังกล่าว และทำให้เกิดจุดบอดขึ้นในบริเวณใจกลางของภาพที่เรามองเห็น โดยมี 2 ลักษณะคือ ชนิดเปียกและชนิดแห้ง
การรักษา
เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงยับยั้งไม่ให้โรคดำเนินต่อ ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด รักษาได้ทั้งการใช้ยา การใช้แสงเลเซอร์และการผ่าตัด ผลการรักษาจะดีที่สุดเมื่อรับการรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรคที่แผลยังมีขนาดเล็กอยู่
>>> โรคต้อกระจก
เป็นโรคที่มีอันตรายรุนแรงมาก เพราะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนตาบอดเนื่องจากเป็นความเสื่อมของเลนส์ตาที่พอเราแก่ตัวลง เลนส์ตาก็จะเริ่มขุ่นขึ้น จนทึบ เมื่อทิ้งไว้นานขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้มองไม่เห็นในที่สุด อาการที่อาจพบได้ เช่น มองเห็นสีทึมๆ ไม่สดใส มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนเคยในที่ที่มีแสงเท่าเดิม มองเห็นภาพซ้อน มองไม่เห็นเมื่อมีแสงจ้าหรือสู้แสงไม่ได้ ขับรถแล้วมองแสงไฟสะท้อนจากรถฝั่งตรงข้ามไม่ได้ เป็นต้น
การรักษา
ทำได้โดยการผ่าตัดต้อกระจกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน ที่มีอายุการใช้งานถึง 50 ปี
>>> โรคต้อหิน
จัดเป็นโรคที่เป็นภัยเงียบเพราะสามารถทำให้ตาบอดอย่างช้าๆ ได้ เกิดจากการทำลายเยื่อประสาทตาอย่างถาวร ทำให้เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ น่ากลัวไปกว่านั้นคือ หากเป็นในระเริ่มต้นจะไม่มีอาการ จะพบอาการตามัว เมื่อเป็นระยะท้ายๆ แล้ว ทำให้การรักษาอายจะทำได้ไม่ค่อยดีนักโรคนี้อาจมีสาเหตุจากความดันในลูกตาสูง ต้องมีการสอบประวัติครอบครัวว่าเคยมีใครในครอบครัวเป็นต้อหินหรือไม่
การรักษา
โดยการรักษาด้วยยาหยอดตาเพื่อรักษาสมดุลของความดันตา เลเซอร์หรือผ่าตัด คำแนะนำคือเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป ควรไปตรวจวินิจฉัยต้อหินทุกปี หากพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จะรักษาง่าย
>>> เบาหวานขึ้นตา
พบได้ว่าว่าเมื่อคนอายุมากขึ้น ความเสี่ยงของการเป็นโรคเบาหวานก็มากขึ้น และโรคเบาหวานเองก็เป็นโรคที่ทำร้ายสุขภาพของดวงตาด้วย โดยสามารถทำให้เกิดโรคตาแห้ง ทำให้เกิดต้อกระจกได้มากขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงของต้อหินมากกว่าคนปกติ แต่ที่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานคือ เบาหวานขึ้นจอประสาทตา
การรักษา
แพทย์จะรักษาตามอาการ โดยผู้ป่วยเบาหวานจะต้องพยายามควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและเข้ารับการตรวจตาโดยเร็วที่สุด
[ads]
advertisement
การปกป้องดวงตาจากโรค
1) หลีกเลี่ยงการได้รับแสง หรือรังสีอัลตราไวโอเล็ตเป็นระยะเวลานาน หากจำเป็นควรสวมแว่นกันแดดทุกครั้ง
2) ลดการจดจ้องจอเป็นเวลานานๆ ควรใช้แว่นผู้สูงอายุขณะใช้งานสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต
3) เมื่อเวลาที่ต้องจ้องอะไรมากๆ เรามักจะลืมกะพริบตา ทำให้ตาแห้งได้ จึงควรกะพริบตาบ่อย ๆ
4) กินอาหารที่มีเบตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ปริมาณสูง เช่น แอปเปิ้ล บร็อกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่วพริก และไข่แดง
5) เข้ารับการตรวจตาและจอประสาทตา เป็นประจำ เมื่อแพทย์ทำการนัดก็ไม่ควรละเลยที่จะไปตามนัด
6) งดการสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
7) รับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและธาตุสังกะสีเป็นประจำ
8) สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ควรควบคุมโรคให้อยู่ในภาวะที่ปกติ
9) ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
10) พักผ่อนอย่างเพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ดวงตาได้รับการซ่อมแซม และฟื้นฟูตัวเองด้วย เช่นเดียวกันกับอวัยวะส่วนอื่นๆในร่างกาย
การดูแลรักษาสุขภาพของดวงตานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนะคะ เพราะโรคที่เกิดขึ้นกับดวงตา อาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นที่ดีได้ นอกจากนั้นแล้วแม้จะไม่พบความผิดปกติของดวงตาใดๆ ก็ตามแต่ ก็ควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะในบางโรคที่มีอาการแรกเริ่มนั้น สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพื่อสุขภาพตาที่ดีการมองเห็นที่สดใสอยู่กับเราไปได้อย่างยาวนานค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com