ใบชา..สรรพคุณน่ารู้!!
advertisement
น้ำชา ..ได้มาจากใบชา มีการดื่มน้ำชามาตั้งแต่สมัยโบราณนานนับพันปีเลยทีเดียว โดยเฉพาะในชาวจีนและญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีงานวิจัยมากมายสนับสนุนว่า น้ำชา ดื่มแล้วดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ในบ้านเรานั้นก็สามารถหาน้ำชามาดื่มรับประทานได้ง่ายๆ ชนิดที่นำใบมาแช่น้ำร้อนชงดื่มเอง หรือชาบรรจุขวดหลากหลายรสชาติปรุงแต่งที่มีวางชายในตู้แช่เย็น ในความเป็นจริงแล้วใบชาหรือน้ำชานั้นมีประโยชน์อย่างไรและควรดื่มอย่างไรให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด วันนี้เรามารู้จักกับสรรพคุณของใบชา และการดื่มน้ำชาให้มากขึ้นกันค่ะ
advertisement
น้ำชา ..ได้มาจากใบชา ในเรื่องของกระบวนการผลิตชาจะเริ่มจากการเก็บใบชาสด แล้วนำมาเข้ากระบวนการที่ทำให้เกิดการหมักในระดับที่แตกต่างกันไป
ชา สามารถแบ่งตามกรรมวิธีผลิต ได้เป็น 4 กลุ่มด้วยกัน คือ
1. ชาเขียว (green tea) เป็นชาที่ได้จากยอดใบชา หรือชาญี่ปุ่น เป็นชาที่ผ่านการอบแห้งโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการหมัก ทำให้ได้ใบชาที่ยังคงสีเขียวอยู่
2. ชาจีน (red tea ; Oolong tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักในระยะสั้นๆ มีรสจัดกว่าชาเขียว น้ำชามีสีแดงเข้ม ชาจีนที่ดีควรเป็นชาที่เก็บจากภูเขาสูงและเป็นชาที่เก็บในช่วงฤดูหนาว เชื่อกันว่าเป็นชาชั้นยอดและ มีกลิ่นหอม พิเศษ
3. ชาหมัก หรือชาฝรั่ง (black tea) เป็นชาที่ผ่านกระบวนการหมักอย่างเต็มที่ รสชาติชาที่ได้เข้มข้นมาก นอกจากนี้ ยังนิยมนำชาชนิดนี้แต่งกลิ่นแต่งรส ทำให้ได้รสชาติที่หลากหลายมากขึ้น ชาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในแถบยุโรป
4. ชาขาว (white tea) เป็นชาที่ได้จากช่อใหม่ของต้นชาหรือยอดชาอ่อน และผ่านกระบวนการผลิตโดยใช้ความร้อนน้อยที่สุดจึงทำให้คุณค่าทางโภชนาการและศักยภาพในการต้าน อนุมูลอิสระสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบ กับชาชนิดอื่นๆ
[ads]
advertisement
ประโยชน์และสรรพคุณของการดื่มน้ำชา
1. ชา เป็นเครื่องดื่มที่มีธาตุอาหารหลายชนิดที่ช่วยในการบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทและร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะในใบชามีสารกาเฟอีน ช่วยกระตุ้นระบบประสาทกลางและระบบหมุนเวียนโลหิต มีอิทธิพลต่อกระบวนการเมตาบอลิซึมของเซลล์ภายในร่างกาย ใช้ผสมยาแก้ปวด รักษาโรคไมเกรน เพื่อเพิ่มฤทธิ์ในการรักษา และให้ยาออกฤทธิ์ได้นานยิ่งขึ้น
2. ใบชามีสารกลุ่ม แซนธีน ซึ่งมีผลต่อระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต ช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ซึ่งการดื่มชายังสามารถรักษาอาการเจ็บหน้าอก และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้
3. การดื่มชามีผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ และช่วยสลายไขมันได้เป็นอย่างดี ลดระดับคอเลสเตอรอล โดยไปเพิ่มการขับคอเลสเตอรอลในร่างกายผ่านทางน้ำดีในอุจจาระ
4. การดื่มชาจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนๆ เนื่องจากในใบชามีสารพอลิฟีนอล คาร์โบไฮเดรต และกรดอะมิโน เป็นองค์ประกอบ เมื่อสารเหล่านี้เกิดปฏิกิริยากับน้ำลายจะช่วยกระจายความร้อนส่วนเกินในร่างกาย 5. การดื่มชาเป็นประจำจะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงสดชื่น ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัยและมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณ
6. ชาให้สารไอโอดีน และฟลูออไรด์ซึ่งเป็นสารป้องกันภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป ซึ่งฟลูออไรด์ในจำนวนที่เพียงพอกับความต้องการ จะช่วยป้องกันฟันผุและเสริมมวลกระดูกได้ดี
7. การดื่มชาแก่ๆ หนึ่งถ้วยหลังอาหาร จะช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และช่วยในการย่อยอาหารจำพวกวิตามินกลุ่มต่างๆ
8. ดื่มชาป้องกันอาการหลงลืม ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียวทุกวันอย่างน้อย 2 ถ้วยพบว่า มีอาการสูญเสียความจำ และหลงลืมน้อยกว่าคนในวัยเดียวกัน สาเหตุเป็นเพราะกรดอะมิโนแอล-ธีอะนิน (L-theanine) ในใบชามีคุณสมบัติกระตุ้นคลื่นอัลฟ่าในสมอง ทำให้รู้สึกสงบ มีสมาธิ สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้ในระยะหนึ่ง โดยกรดอะมิโนชนิดนี้มีอยู่ในใบชาทุกชนิด แต่จะพบมากที่สุดในชาเขียว
ในประเทศจีนรู้กันดีว่า ชาจีนสามารถควบคุมการเกิดโรคอ้วนได้ดี มีฤทธิ์ต้านจุลชีพ ช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดการอักเสบ สมานแผล ขับสารพิษในร่างกาย ด้วยในใบชามีสารพอลิฟีนอล สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ได้ ในส่วนฤทธิ์การต้านการอักเสบเชื่อว่า ชาสามารถป้องกันโรคที่ก่อการอักเสบเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์
คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะชาเขียวมีวิตามินซี วิตามินบีรวม และกรดแพนโธเทนิก รวมทั้งวิตามินบี ช่วยให้หลอดเลือดมีการซึมผ่านได้ดีขึ้น ช่วยไม่ให้เส้นเลือดแข็งตัวง่าย กรดแพนโธเทนิกในชา ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น วิตามินบี 1 ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเม็ดเลือด วิตามินบี 2 ช่วยลดการอักเสบชาช่วยแก้กระหายและช่วยในการย่อยอาหาร [yengo]
advertisement
วิธีการดื่มน้ำชาที่ดีที่สุด
ปัจจุบันมีการดื่มน้ำชาในรูปแบบต่างๆ มากมาย แต่การดื่มน้ำชาที่ดีที่สุดนั้น คือการชงชาร้อนดีที่สุด เพราะในใบชามีสารอาหารชีวภาพมากกว่า 200 ชนิด รวมถึงสารอาหารสำคัญในใบชา เช่น คาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารประกอบมีฤทธิ์ดักจับอนุมูลอิสระ และธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนในชาที่ทำงานสัมพันธ์กับเส้นประสาททำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งหากชงแบบร้อนแล้วดื่มทันทีจะได้รับประโยชน์จากสารอาหารในใบชามากกว่าชงดื่มแบบเย็นนั่นเองค่ะ และที่สำคัญคือ เมื่อชงแล้วควรดื่มให้หมด ไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะสารคาเทชินจะดักจับและรวมตัวกับออกซิเจน ทำให้น้ำชามีสีคล้ำลง มีรสชาติฝาดชัดเจนเพราะมีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากดื่มชาตอนชามีรสฝาดจะส่งผลต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ คือดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม
[ads]
ข้อควรระวัง
– ใบชาที่คุณภาพต่ำจะมีสารแทนนินอยู่มาก มีผลต่อ trace element ในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ส่งผลให้ดูดซึมอาหารได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยด้วยอาการขาดธาตุเหล็กในเลือด เมื่อแทนนินรวมตัวกับโปรตีนจะทำให้ย่อยโปรตีนยากขึ้น
– การดื่มชาที่เข้มข้นมากๆ มีผลในกระเพาะอาหารดูดซับ อาหารได้น้อยลง ระบบย่อยอาหารผิดปกติซึ่งจะทำให้ท้องผูก ยิ่งถ้าดื่มชาเข้มข้นในช่วงท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารได้ แต่ควรดื่มชาหลังรับประทานอาหารแล้ว 2-3 ชั่วโมง
– ผู้ที่ไม่ควรดื่มชา ได้แก่ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิด สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ผู้ที่มีไข้สูง
– ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา ไม่ว่ายาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณ
– ไม่ควรดื่มชาหลัง 5 โมงเย็น เพราะจะทำให้นอนไม่หลับโดยเฉพาะผู้ที่นอนหลับยากหรือเป็นโรคนอนไม่หลับ
– ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดเพราะความร้อนจะไปทำลายเนื้อเยื่อในช่องปากจนทำให้เกิดอันตรายในช่องปาก ลำคอ ลำไส้ได้
– ไม่ควรดื่มชาที่ชงค้างคืนหรือชงไว้นานหลายชั่วโมง เพราะคุณภาพจะต่ำลง ชาอาจบูดเสียซึ่งชาที่ชงทิ้งค้างไว้นานๆ พบว่ามีกรดแทนนินสูง และสารต่างๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาจนกลายเป็นสารพิษได้
ใบชานั้นมีสรรพคุณมาก และการดื่มน้ำชาก็ดีต่อสุขภาพอย่างมากมายเลยทีเดียวนะคะ แต่อย่าลืมว่าชาที่ดีต่อสุขภาพ คือชาที่ไม่ใส่น้ำตาล ดื่มชาร้อน ซึ่งเราสามารถดื่มได้มากถึง 4-9 ถ้วยต่อวัน หรือใช้จิบแทนน้ำเปล่าได้ แต่หลัง 5 โมงเย็นไปแล้วควรงดดื่ม เพราะจะทำให้นอนไม่หลับได้ค่ะ และควรหลีกเลี่ยงการดื่มชาบรรจุขวดที่มีวางขายในตู้แช่โดยทั่วไป เพราะมีน้ำตาลสูงและประโยชน์น้อยกว่าการชงชาร้อนดื่มค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com