เคยรู้หรือไม่!! 10 ประโยชน์ของ “ยาแอสไพริน” ยาบรรเทาอากาศปวด ลดไข้ ที่ยังมีประโยชน์มากกว่านั้น คุณอาจจะไม่เคยรู้

        ถ้าพูดถึงยาเเก้ปวดเเล้วล่ะก็หลายคนก็คงนึกถึง "พาราเซตามอล" เป็นอันดับเเรกๆ คุณรู้หรือไม่ว่าก่อนที่จะมียาพาราเซตามอลนั้น มีการใช้ชนิดหนึ่งในการบรรเทาอาการปวด ลดไข้อย่าง "แอสไพริน" ที่หลายคนก็คงได้ยินชื่อยาชนิดนี้เป็นอย่างดีเเละก็คงเคยได้ทานยาชนิดนี้บ้าง เป็นยาที่แพร่หลายไปทั่วโลกเลยทีเดียว ยาแอสไพริน ถือว่าเป็นยาสามัญประจำบ้าน วันนี้ Kaijeaw.com จะพาไปดูประโยชน์ของยาแอสไพรินจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

        1. ลดความดันโลหิต

        เป็นการศึกษาของสเปนที่ได้ให้คนไข้ที่เป็นความดันโลหิตสูงด้วย ทานยาแอสไพริน 100 มิลลิกรัมทุกวันก่อนนอนเท่านั้น จะช่วยลดค่าความดันโลหิตตัวบนได้เฉลี่ย 7 จุด และลดค่าความดันโลหิตตัวล่างได้เฉลี่ย  6 จุด[ads]

       2. รักษาสมอง
         เป็นผลการวิจัยจากคณะวิจัยศูนย์การแพทย์อีราสมัสในเนเธอร์แลนด์พบว่า คนที่กินยาเเอสไพรินเป็นประจำจะมีเเนวโน้มเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่กินถึงร้อยละ 80 เเละอีกผลการวิจัยจาก ดร.ปีเตอร์ แซนดี้ นักวิจัยที่ ศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ได้กล่าวว่า "ทฤษฎีข้อหนึ่งก็คือโรคอัลไซเมอร์เกิดจากปฏิกิริยาอักเสบภายในสมอง และยาจำพวกแอสไพรินอาจช่วยขัดขวางปฏิกิริยาดังกล่าว"

        3. หยุดอาการคัน
         นายแพทย์เวล รีส ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ได้เผยวิธีการใช้เเอสไพรินหยุดอาการคัน โดยบดแอสไพรินสัก 2-3 เม็ด แล้วผสมกับโลชั่น จากนั้นก็ทาลงบนผิวหนังที่มีอาการคัน ตัวยาเเอสไพรินก็จะเข้าไปช่วยบรรเทาอาการคันได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำไปใช้เสมอนะครับ

        4. ทำลายหูด
         เป็นวิธีของแพทย์หญิง เมอร์วีน เอลการ์ต ศาสตราจารย์ด้านผิวหนังของโรงเรียนการแพทย์ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน โดยจะใช้เทปกาวโดยตัดเทปกาวให้เป็นรูแล้วแปะบนผิวเพื่อให้หูดยื่นออกมา บดแอสไพรินเม็ดหนึ่งให้ละเอียดแล้วค่อยๆ แปะผงแอสไพรินลงบนบริเวณที่หูด ไม่ให้โดนผิวหนังรอบๆ จากนั้นก็หุ้มด้วยเทปชิ้นเล็กๆ อีกชิ้นหนึ่ง ติดทิ้งไว้ 3 วัน หูดก็จะหลุดออกมา

        5. เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์
        เมื่อภรรยาของคุณพร้อมที่จะเลิกกินยาคุม (กำเนิด) ลองขอให้เธอทานแอสไพรินดูบ้าง เมื่อคณะผู้วิจัยในอาร์เจนติน่าให้แอสไพริน 100 มิลลิกรัม แก่ผู้หญิงที่เป็นหมันในทุกวัน คณะผู้วิจัยพบว่าผู้หญิงที่ทานแอสไพรินมีโอกาสตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 นายแพทย์ เอสเตอร์ โพแลก เดอ ฟรายด์ ผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า " แอสไพรินช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่รังไข่มากขึ้น"

         6. ขจัดผิวสากด้าน
          หลายคนคงมีปัญมือสากไม่นุ่มนวลน่าสัมผัส เเอสไพรินช่วยได้ โดยให้บดแอสไพริน 5-6 เม็ด ให้ละเอียดผสมยากับน้ำเปล่าและน้ำมะนาวอย่างละครึ่งช้อนชา นำไปพอกผิวหนังสากด้านไว้ แล้วใช้ผ้าหมาดอุ่นห่อไว้ 10 นาที กรดในแอสไพรินจะทำให้ผิวสากด้านอ่อนนุ่มลงได้

        7. อาจบรรเทาผิวไหม้จากแสงแดด
        มีการวิจัยว่าแอสไพรินขนาด 325 มิลลิกรัม 2 เม็ดนั้น อาจบรรเทาอาการได้ ดอกเตอร์รีสบอกว่า "แอสไพรินจะช่วยยับยั้งกระบวนการที่ก่อให้เกิดผิวไหม้ (การแพ้แดดของผิวหนัง) ถ้าคุณทานยาไปสัก 2-3 เม็ด หลังจากตากแดดมากเกินไป ผิวคุณจะไหม้และเป็นรอยพองน้อยลงเยอะเลย"[ads]

       8. รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
       คณะวิจัยของเมโยคลินิก ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างผู้ชาย 1,400 คนเป็นเวลา 5 ปีครึ่ง ก็พบว่าผู้ชายที่ทานยาแอสไพรินเป็นประจำทุกวัน จะมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ทาน โดยยาจะขัดขวางการผลิตและจำกัดความเสียหายที่เกิดจากเอนไซม์ค็อกซ์-2 (COX-2 enzyme) ซึ่งช่วยเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

        9. รักษาเริมที่ปาก
        คณะวิจัยที่มหาวิทยาลัยการแพทย์เซมเมลไวซ์ในฮังการีพบว่าการทานแอสไพริน 125 มิลลิกรัมเป็นประจำทุกวัน ช่วยลดระยะเวลาของการเกิดเริมที่ริมฝีปากจากเฉลี่ยประมาณ 8 วันเหลือเพียงแค่ 5 วัน โดยแอสไพรินจะช่วยลดการอักเสบที่ก่อให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก ดังนั้นจึงช่วยรักษาให้หายเร็วขึ้นได้

        10. ป้องกันภาวะสมองขาดเลือด
         จากบทความผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร British Medical Journal คณะวิจัยพบว่าการใช้แอสไพรินทุกวันช่วยลดความเสี่ยงภาวะสมองขาดเลือด ได้มากกว่าร้อยละ 25 ในผู้ชายที่เคยมีภาวะดังกล่าวหรือมีแนวโน้มว่าจะมีผลการศึกษาอื่นๆ แนะนำว่าอัตราการลดความเสี่ยงดังกล่าวอาจสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ ดอกเตอร์บารอน กล่าวว่า "นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันภาวะสมองขาดเลือดที่เราค้นพบ และยังช่วยลดความเสียหายที่ภาวะสมองขาดเลือดก่อให้เกิดขึ้นได้"

         แอสไพรินเป็นยาที่สารพัดประโยชน์จริง ๆ ไม่ได้เเค่ช่วยในการบรรเทาอาการปวด ลดไข้เเค่นั้น ยังมีประโยชน์ป้องกันเเละรักษาอีกเพียบ เเต่ก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่เช่นกัน การใช้ยาก็ควรที่จะปรึกษาเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอนะครับ

เรียบเรียงโดย : Kaijeaw.com