11 วิธีง่ายๆ เลิกกินหวาน..เพื่อสุขภาพที่ดี!!
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/09/หวาน-1.jpg)
advertisement
เป็นที่รู้ๆ กันดีว่า น้ำตาลให้รสหวาน มักเป็นส่วนประกอบในขนมหวาน ของหวานต่างๆ เติมในอาหารเพิ่มรสหวานกลมกล่อม ประโยชน์ของน้ำตาลนอกจากรสหวานแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็ไม่ควรเน้นหนักกินน้ำตาลเพื่อให้เป็นแหล่งของพลังงานนะคะ เพราะถือว่าเป็นพลังงานที่ไม่ค่อยมีคุณค่าซักเท่าไหร่ เพราะในวันหนึ่งๆ เรารับประทานอาหารเข้าไปหลายประเภทด้วยกัน ทั้ง แป้ง โปรตีน ไขมัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานมาก ซึ่งหากว่าคนเราได้รับพลังงานมากจนเกินไป ก็จะกลายเป็นพลังงานส่วนเกิน กลายเป็นไขมันส่วนเกิน
ส่วนการกินน้ำตาลมากๆ ไม่ว่าจะมาจากเครื่องดื่มใดๆ อาหาร ขนมหวาน หรือจากน้ำตาลโดยตรง ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหลายประการด้วยกัน เช่น ทำให้ฟันผุ อ้วน รวมไปถึงโรคภัยต่างๆ ที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วนลงพุง โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวานและความดันโลหิต นอกจากนี้แล้วนิสัยติดรสหวานยังสามารถทำให้เราหน้าแก่ก่อนวัยได้อีกด้วย
ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุไว้ว่า ปริมาณการบริโภคน้ำตาลที่เหมาะสมไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน หรือ ไม่เกินวันละ 40 กรัม (10 ช้อนชา) โดยปริมาณแนะนำสำหรับคนไทยก็คือ ไม่เกินวันละ 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา ที่น่ากังวลใจมากก็คือเรื่องของคนไทยทั่วไปบริโภคน้ำตาลในแต่ละวัน มากกว่าในปริมาณที่กำหนดเป็นเท่าตัว! เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของโรคภัยอยู่มากมายนั่นเองค่ะ ดังนั้นก็ถึงเวลาที่เราต้องเลิกกินหวานกันแล้วนะคะ ..เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ
[ads]
advertisement
![กินหวาน-1](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/09/กินหวาน-1.jpg)
11 วิธีง่ายๆ เลิกกินหวาน
1. ทานมื้อเช้าในทุกวัน
อาหารเช้าให้พลังงานทั้งต่อร่างกาย และสมอง เพื่อทำกิจกรรมและคิดสิ่งต่างๆมื้อเช้าจึงเป็นมื้ออาหารที่สำคัญ ควรรับประทานอาหารเช้าให้เร็ว หลังจากตื่นนอนภายใน 30 นาที – 1 ชม. ไม่เช่นนั้นเวลาที่เราทำกิจกรรมอะไรในตอนเช้าก่อนที่อาหารจะตกลงไปสู่กระเพาะ น้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงถึง 90% เลยทีเดียว ทำให้คุณต้องกินหวานๆ ชดเชยไปตลอดทั้งวันนั่นเอง
2. ทำน้ำผลไม้ดื่มเอง
น้ำผลไม้ที่มีวางขายทั่วไป ชนิดบรรจุกล่องนั้นอาจไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างที่หลายคนคิด เพราะในน้ำผลไม้ก็มีทั้งน้ำตาลและเกลือที่ล้วนแล้วแต่เป็นตัวการทำให้อ้วนด้วยกันทั้งสิ้น แต่หากว่าสาวๆ จะเลือกดื่มน้ำผลไม้ ก็ควรเลือกที่จะทำน้ำผลไม้ด้วยตนเอง หากกลัวอ้วนให้เลือกผลไม้ชนิดหวานน้อย ไม่ผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง รวมไปถึงสารให้ความหวานใดๆ จะดีกว่า
3. งดเครื่องดื่มหวานๆ ทุกชนิด
เครื่องดื่มหวานๆ ที่สาวๆ หลายคนโปรดปรานนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นตัวการก่อความอ้วนและแหล่งอุดมไปด้วยน้ำตาล หากได้รับน้ำตาลมากเกินไป ก็ให้ลดละเลิกเครื่องดื่มจำพวก กาแฟเย็น ชาเย็น ชาไข่มุก น้ำอัดลมได้เลยค่ะ
4. เลือกกินผลไม้รสไม่หวานจัด
ควรหลีกเลี่ยงผผลไม้รสหวานจัดต่างๆ ไม่ว่าจะมะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย น้อยหน่า เป็นต้น ผลไม้รสหวานๆ มาพร้อมกับพลังงานควรเลือกกินผลไม้รสหวานน้อย เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิ้ลเขียว กล้วย แก้วมังกร จะช่วยให้คุณได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย แถมไม่ต้องกังวลใจปัญหาน้ำตาลสูงอีกด้วย
5. ปรุงน้ำตาลทีละนิด
ป้องกันไม่ให้ร่างกายของเราได้รับความหวานมากกว่าที่ควร อย่าปรุงอาหารใดๆ ด้วยการเทน้ำตาลแบบกะๆ ใส่ในอาหารโดยตรง เพราะการทำแบบนี้จะทำให้เราไม่รู้เลยว่าปรุงหวานมากไปเท่าไรแล้ว ดังนั้นใครที่ชอบปรุงรสด้วยวิธีเทใส่อาหาร ควรตวงใส่ช้อนชา เทใส่ทีละนิดๆ ให้เห็นปริมาณดีกว่า เพราะถ้าหากไม่หวาน ก็สามารถใส่เพิ่มได้ แต่ถ้าปรุงจนหวานมากไปแล้ว จะยุ่งยากในการเติมเครื่องปรุงอื่นใดอีกมากมาย เป็นการเติมโซเดียมเข้าสู่ร่างกายเป็นผลเสียมากขึ้น
6. ลดปริมาณความหวานทีละนิดลงทุกวัน
การที่เรางดน้ำตาลทุกชนิดเอาเสียทีเดียว จะส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกอย่างมากมาย นั่นเป็นเพราะร่างกายเราขาดน้ำตาลไปหล่อเลี้ยงสมองอย่างที่เคยนั่นเอง ดังนั้นเราจึงขอแนะนำว่า ไม่ควรอดน้ำตาลเสียทีเดียว ให้ค่อยๆ ลดปริมาณความหวานลงทีละนิด เช่น จากที่เคยใส่น้ำตาลในก๋วยเตี๋ยวครั้งละ 3 ช้อน ให้ลดลงทีละนิดๆ ทีละหน่อย เช่นคราวละครึ่งช้อนชา รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ฯลฯ
7. อ่านฉลากของสินค้า
บนฉลากโฆษณาอาหารส่วนมากจะใช้คำที่ผู้บริโภคเข้าใจง่าย ๆ เช่น “ไขมัน 0%” “ใช้สารแทนความหวาน” “ไม่มีน้ำตาล” “สกัดมาจากธรรมชาติ 100%” หรือแม้แต่ชื่อเรียกส่วนประกอบหลอกๆ เช่น Organic Raw Sugar ,Maple Syrub ,Corn Syrub ,Cane Sugar ,Honey เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจไปว่าดีต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ก็ยังมีส่วนประกอบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอยู่เหมือนเดิม ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ไม่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลจริงๆ เสียอีก ดังนั้นก่อนซื้ออาหารทุกครั้งอย่าลืมอ่านฉลากที่ติดอยู่บนสินค้าให้ละเอียดด้วยนะคะ
[ads]
8. ดื่มน้ำบ่อยๆ
ควรดื่มน้ำให้มากพอวันละ 7-8 แก้ว และดื่มจิบน้ำในระหว่างวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยากกินของหวาน จะช่วยให้ร่างกายลดความอยากได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การดื่มน้ำเป็นประจำยังทำให้ดีต่อระบบขับถ่าย ผิวพรรณชุ่มชื่น และผ่องใสขึ้นอีกด้วยค่ะ
9. อย่าซื้อขนมมาตุนไว้
โดยปกติแล้วเรามักได้กินขนมหวานก็ต่อเมื่อเราสามารถหยิบหาได้ง่ายๆ นิ่งถ้าหากว่ามีขนมหวานอยู่ในตู้เย็นด้วยแล้วล่ะก็ จะทำให้สาวๆ ขาดความยับยั้งชั่งใจง่ายๆ แล้วหยิบหามาใส่ปากได้อย่างง่ายดาย และยิ่งในเวลากลางคืนที่คุณอยากกินของหวาน และพบว่าในตู้เย็นมีขนมหวานมากมาย รับรองได้ว่าตะบะแตกได้ง่ายๆ แล้วคุณจะอ้วนขึ้นจากการได้รับน้ำตาลมากเกินไปอย่างแน่นอน
10. ไม่เดินซูเปอร์มาร์เกตตอนหิวมากๆ
เมื่อไหร่ที่เราหิวแล้วเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ อย่างซูเปอร์มาร์เกต มีโอกาสสูงมากที่เราจะหยิบของหวานๆ เมนูอ้วนๆ เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ และขนมกรุบกรอบ ตามอารมณ์ความหิวที่มีอยู่อย่างมากมาย ดังนั้น หากรู้ตัวว่าหิวจัดก็ควรหาทานอาหารที่มีประโยชน์ให้อิ่ม แล้วค่อยไปช้อปปิ้งจะดีกว่า
11. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อคุณพักผ่อนไม่พอ สมองจะสั่งการทำให้รู้สึกอยากกินอะไรหวานๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น แล้วจะกินในปริมาณที่เยอะมากๆ จนหยุดไม่ได้ แล้วจะส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและส่งผลต่อการทำงานของหัวใจนั่นเอง ดังนั้นหากจำเป็นต้องนอนน้อยจริงๆ ก็ควรกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพิ่มพลังงาน และทางที่ดีอย่าลืมนอนให้ครบวันละ 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืน
การลดปริมาณการกินน้ำตาลอาจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของเรานะคะ เพื่อสุขภาพที่ดี เชื่อว่าทุกคนทำได้อย่างแน่นอน ใครที่รู้ตัวว่ากินหวานมากไป อย่าลืมเอาเคล็ดลับที่เรามีมาฝากกันด้วยนะคะ ได้ผลดีอย่าลืมบอกต่อกันนะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com