9 วิธีปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ให้หมองคล้ำ!!แดดแค่ไหนก็เอาอยู่!!
advertisement
ย่างเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์ หรือฤดูร้อนของบ้านเรากันแล้วนะคะ นอกจากอากาศจะร้อนอบอ้าวเป็นที่สุดแล้ว แสงแดดก็เพิ่มกำลังแรงกล้าเป็นทวีคูณเลยจริงๆ เชื่อว่าสาวๆ คงต้องกังวลกบปัญหาเดียวกันแน่นอนในเรื่องของผิวพรรณ เพราะแสงแดดเป็นตัวการใหญ่ที่ทำร้ายผิวพรรณขาวๆ เนียนสวยของสาวๆ ให้ดำ ด่างพร้อยไปด้วยฝ้ากระ และยังอันตรายร้ายแรงถึงขั้นมะเร็งผิวหนังเลยทีเดียว !! เช่นนี้แล้วเรามาหาวิธีรับมือกับแสงแดดกันดีกว่า ซึ่งวันนี้ Kaijeaw.com ก็ไม่พลาดค่ะ มีวิธีปกป้องผิวจากแสงแดด ไม่ให้หมองคล้ำมาฝากกันถึง 9 วิธีด้วยกัน
advertisement
อันตรายจากแสงแดด
ในแสงแดดประกอบด้วยรังสีที่มองด้วยตาเปล่า นั่นก็คือรังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) หรือรังสียูวี (UV) นั่นเอง อันตรายที่เกิดจากแสงยูวี แม้เพียงเล็กน้อยในยามแดดจัด ก็สามารถทำให้คอลลาเจน (เซลล์เนื้อเยื่อของผิวหนัง) เสื่อมสภาพได้ อนุมูลอิสระเป็นผลผลิตจากการที่ร่างกายต่อสู้กับสิ่งที่มาระคายเคือง เช่น แสงแดด ฝุ่น ควัน และมลพิษต่างๆ เป็นเวลานาน ซึ่งหากหลงเหลืออยู่ในผิวหนัง สารอนุมูลอิสระนี้ก็อาจทำลายเซลล์รอบๆ ตัว ทำให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนังได้ ถึงแม้ว่าโรคมะเร็งผิวหนังจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่พบว่า มีความสัมพันธ์กับรังสียูวี นั่นคือ ผิวหนังถูกแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานานนับสิบปี [ads]
advertisement
ชนิดของรังสียูวี
รังสียูวีแบ่งได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ รังสียูวีเอ (UVA) รังสียูวีบี (UVB) และรังสียูวีซี (UVC)
1. รังสียูวีเอ (UVA) คือ รังสีอัลตราไวโอเลตที่มีคลื่นยาวกว่ารังสี UVB และ UVC อันสามารถทะลุไปถึงชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ได้ แม้ว่าอาการที่เกิดขึ้นกับผิวหนังเมื่อสัมผัสกับรังสี UVA จะเห็นได้ไม่ชัดเจน และไม่รู้สึกเจ็บเมื่อได้รับรังสีนี้ แต่ผลในระยะยาวเชื่อกันว่าหากได้รับรังสี UVA มากๆ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิวหนัง ซึ่งจะทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยก่อนวัย สีผิวคล้ำเข้มขึ้น ขาดความสดใส
2. รังสียูวีบี (UVB) คือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นรองลงมา รังสี UVB จะถูกกั้นโดยชั้นบรรยากาศบางส่วน และลงมาถึงผิวโลกประมาณร้อยละ 0.1 ของแสงทั้งหมด รังสี UVB แม้จะไม่สามารถทะลุสู่ชั้นผิวหนังที่ลึกได้เท่ากับรังสี UVA แต่ก็มีผลทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เกิดอาการแสบร้อน แดง และไหม้เกรียม โดยเฉพาะภายใน 24 ชั่วโมงที่โดนแสงแดดจัดนานๆ
3. รังสียูวีซี (UVC) เป็นรังสีที่มีคลื่นสั้นที่สุด ในอดีตรังสี UVC จะถูกกรองไว้ได้ทั้งหมดโดยชั้นโอโซน จึงไม่สามารถผ่านชั้นบรรยากาศของโลกลงมาได้ แต่ปัจจุบันนี้พบว่ารังสี UVC ก็สามารถทะลุชั้นโอโซนมายังพื้นโลกได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากมลพิษที่มนุษย์ก่อขึ้น จนไปทำลายชั้นโอโซนให้บางลง
สรุปได้ว่ารังสีที่เป็นอันตรายต่อผิวคือ รังสี UVA และรังสี UVB ซึ่งมีผลทำให้ผิวหนัง เหี่ยวย่นและก่อโรคมะเร็งผิวหนังได้พอกันทั้ง 2 ชนิด รังสี UVB จะ มีความแรงสูงสุดในช่วงเวลากลางวัน คือตั้งแต่ 10.00-14.00 น. นอกจากนี้ยังมีหลักฐานแสดงว่ารังสีช่วงคลื่นยาวคือรังสีอินฟราเรดก็เป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นเดียวกัน
advertisement
ดังนั้นแล้วสาวๆ ที่ไม่อยากให้ผิวสวยๆ คล้ำเสีย เป็นฝ้ากระ และมะเร็งผิวหนังแล้วล่ะก็ อย่าช้าค่ะ มาดูวิธีการปกป้องผิวจากแสงแดดกันดีกว่า
1. ครีมกันแดด
ทาครีมกันแดดทุกวันในตอนเช้า และทาครีมกันแดดล่วงหน้า 30 นาทีก่อนเผชิญแสงแดด และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง และทุกครั้งหลังว่ายน้ำควรจะทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง เพื่อเป็นการป้องกันผิวอีกชั้นหนึ่ง นอกจากส่วนใบหน้าและแขนขาแล้วอย่าลืมทาครีมกันแดดที่ใบหูและคอ รวมถึงริมฝีปากก็ต้องทาลิบบาล์ม (Lip balm) ที่มี SPF ด้วยนะคะ
ข้อแนะนำในการเลือกใช้ครีมกันแดดควรเลือกชนิดที่เหมาะกับผิวและมีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดอย่างแท้จริง
– ตัวเลข SPF หรือ Sun Protection Factor คือ ความสามารถของครีมกันแดดที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการแดงไหม้ซึ่งเกิดจาก UVB โดยจะแสดงค่าความสามารถในการป้องกันแสงแดดเป็นตัวเลข เช่น SPF 15,30 เป็นต้น ถ้า SPF 15 หมายความว่าคนๆ หนึ่งตากแดด 30 นาที แล้วเกิดผิวแดงไหม้แสบแต่ถ้าทาครีมกันแดดที่มี SPF 15 คนๆ นั้นจะสามารถตากแดดได้นานเป็น 15 เท่าของ 30 นาที หรือ ประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแดงที่ผิวหนัง
– ที่สำคัญคือต้องเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกัน UVA ได้ด้วยคือต้องมีส่วนผสมของสารกันแดด เช่น dibenzoylmethane Mexoryl, Thinosorb หรือสารกันแดดที่สะท้องแสง เช่น Titanium dioxide และ Zinc oxide ซึ่งทาแล้วอาจจะทำให้หน้าขาวบ้าง แต่ข้อดีคือไม่มีอาการระคายเคืองและไม่แพ้
– สำหรับกิจกรรมทางน้ำที่มีคำว่า Water Proof (ที่จะกันแดดได้นาน 80 นาที) และ Water Resistant (จะกันแดดได้นาน 40 นาที) ทุกครั้ง
ทั้งนี้การทาครีมกันแดดควร เริ่มทาอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เป็นเด็ก
2. หลีกเลี่ยงแสงแดดรุนแรง
พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงตอน 15.00 น. ให้มากที่สุด เพราะเป็นช่วงที่แดดจัดที่สุด ถ้าต้องออกแดดจัดในช่วงเวลานั้น นอกจากการทาครีมกันแดดแล้ว อุปกรณ์ป้องกันแสงแดดได้ดีคือ หมวก ร่ม เสื้อแขนยาว และการอยู่ในร่มไม่ใช่ว่าจะปลอดภัย 100% ถึงแม้แสงแดดจะไม่ถูกต้องตัวคุณ แต่รังสี UV ก็สามารถสะท้อนเข้ามาในร่มได้ เพราะฉะนั้นการทาครีมกันแดดป้องกันไว้จะปลอดภัยที่สุด แม้คุณจะทำงานในตึกก็ตาม
3. ทาครีมกันแดดซ้ำ
การเติมครีมกันแดดในระหว่างวันโดยไม่ต้องล้างหน้านั้น ให้ซับเหงื่อซับมันออกจากหน้าเสียก่อนแล้วใช้นิ้วกลางป้ายครีมมาแตะๆ ให้ทั่วหน้า แทนการละเลงครีมไปทั่วหน้าก่อนจะทาแป้งซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
4. ดื่มน้ำให้มาก
แม้จะทาครีมกันแดดหลังจากตากแดดแรงๆ แล้ว ควรดื่มน้ำตลอดเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ (Dehydrated) เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญในการชำระล้าง นำของเสียออกจากร่างกาย และคืนความชุ่มชื้นให้ผิว ทำให้ผิวสดใส และป้องกันไม่ให้คุณเป็นลมจากสภาวะร่างกายขาดน้ำนั้น และควรดื่มน้ำบ่อยๆ ตลอดวันก็เป็นการช่วยดูแลผิวไม่ให้แห้ง และลดความร้อนเกินไปของร่างกายได้เหมือนกันด้วย ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง แนะนำว่าให้ตั้งกระติกน้ำไว้บนโต๊ะทำงานให้เป็นนิสัย เพราะมันจะช่วยให้คุณขยันดื่มน้ำมากขึ้นค่ะ
5. วิตามินซี
ควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินซี เช่น ฝรั่ง ส้ม ผลไม้จำพวกเบอร์รี หรือวิตามินเอ เช่น มะละกอ ฟักทอง แครอต รวมทั้งผักใบเขียว อย่าลืมว่าไม่ว่าจะหาครีมกันแดดแค่ไหนก็ไม่สามารถกันแสงแดดได้ 100% เพื่อต่อด้านแสงแดดที่เป็นอนุมูลอิสระ จึงควรกินอาหารที่มีการต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว เพื่อไปช่วยซ่อมแซมผิวหยาบกร้าน และเพิ่มความชุ่มชื่นของผิว ทำให้โครงสร้างผิวไม่สึกหรอก่อนวัยอันควรค่ะ
6. ป้องกันเส้นผมด้วย
นอกจากอุปกรณ์และวิธีการปกป้องผิวจากแสงแดดแล้ว อย่าลืมปกป้องเส้นผมและหนังศีรษะที่บอบบางด้วยการสวมหมวก ใช้ออยล์บำรุงผมหรือน้ำมันสกัดจากพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว โจโจบาออยล์ น้ำมาชโลมผมก่อนออกไปสัมผัสแสงแดดด้วยนะคะ เพราะนอกจากสุขภาพผิวแล้ว ก็ควรมีเส้นผมที่มีสุขภาพดีด้วยค่ะ
7. ใช้ AfterSun หลังออกแดด
หลังจากการออกแดดที่รุนแรงๆ เป็นเวลานาน ควรจะทา After Sun ที่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อน เลือกที่มีส่วนผสมของวิตามินอีและว่านหางจระเข้ จะช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนสม่ำเสมอเข้ากันทั้งเรือนร่างอีกด้วย AfterSun นั้นยังถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของการฟื้นฟูผิวที่ไหม้และหมองหลังออกแดดเลยก็ว่าได้ สำหรับคนที่ไม่ได้ทากันแดดตั้งแต่แรก แต่ไม่ลืมว่าการฟื้นฟูนั้นยากกว่าการปกป้องด้วยการทาครีมกันแดดตั้งแต่แรกนะคะ ทั้งนี้ก็ไม่ควรโดนแดดแรงๆ อีกสักพักด้วยล่ะ
8. อย่าปล่อยให้ผิวแห้ง
หัวใจสำคัญของการทาโลชั่นเป็นประจำนั้นไม่ใช่เพียงแค่การฟื้นฟูผิวเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องผิวไม่ให้แสงยูวีเข้ามาทำร้ายได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นหลังจากอาบน้ำเสร็จทั้งเช้าและเย็น หมั่นทาโลชั่นบำรุงผิวให้คงความชุ่มชื้นไว้เสมอ เพราะการปล่อยให้ผิวแห้งนั้นจะทำให้บรรดาแสงยูวีแทรกซึมเข้าทำร้ายเซลล์ผิวง่ายขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวคล้ำเสียง่าย
9. ดูแลผิวที่โดนแดดแผดเผา
ถ้าผิวกลายเป็นสีชมพูเข้ม รู้สึกร้อนและไหม้ ให้ประคบผิวบริเวณนั้นด้วยน้ำเย็นผสมนมสด ห้ามใช้น้ำแข็งประคบเพราะจะทำให้ยิ่งไหม้ จากนั้น ชโลมผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของอโลเวราและไม่ควรใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำถูโดยเด็ดขาด แต่ถ้าผิวเป็นสีแดงจัด เป็นรอยย่นจนเห็นได้ชัด ควรอาบน้ำและชโลมผิวเหมือนข้อแรก ทานยาแอสไพรินทุกๆ 4 ชั่วโมง จากนั้นให้ไปพบแพทย์ แต่ถ้าพบว่ามีผิวเป็นสีแดง มีตุ่มน้ำใสๆ มีไข้ หนาวสั่น ให้ทานยาแอสไพรินแล้วรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
advertisement
และหากว่าสาวๆ ต้องเผชิญแสงแดดรุนแรงจน ผิวเกิดไหม้คล้ำเสียจากแสงแดดนั้นแล้ว แนะนำวิธีการฟื้นฟูได้หลายวิธีให้เลือกนำไปปฏิบัติกัน ดังนี้ค่ะ [yengo]
1. การอาบน้ำเย็น
วิธีการง่ายๆ ที่จะช่วย Cool Down ผิวหนังและร่างกายของคุณให้เย็นลง แต่ระวังไม่ใช้ใยขัดตัว ขัดถูตัวนะคะ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองมากขึ้น เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ให้นำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาทำการประคบตามตัว โดยเน้นในบริเวณที่ผิวหนังมีอาการไหม้จากแสงแดด
2. น้ำนม
อาบน้ำนม โดยเทนมจืดใส่เอาไว้ในอ่างอาบน้ำแล้วทำการนอนแช่ได้เลย สามารถผสมน้ำเปล่าในอัตราส่วนเท่าๆ กันได้ในกรณีประหยัด หรืออาจจะใช้วิธีนำผ้าขนหนูไปซับกับน้ำนม แล้วนำไปประคบผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการไหม้ได้เช่นเดียวกัน
3. โยเกิร์ต
นำโยเกิร์ตแช่เย็น มาทาในบริเวณผิวที่ไหม้ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงค่อยทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4. ว่านหางจระเข้
นำวุ้นว่านหางจระเข้ที่ทำการล้างยางออกจนหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาทำการทาถูในบริเวณที่ถูกแสงแดดเผา หรือจะฝานบางๆ เตรียมไว้หลายแผ่นจึงนำมมประคบแล้วเปลี่ยนแผ่นใหม่เมื่อหายเย็นแล้ว
5. ถุงชา
นำถุงชาที่ไม่ใช้แล้วไปแช่ในน้ำเย็น จากนั้นให้นำถุงชาไปวางประคบบนบริเวณที่ไหม้จากแดด จะเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดขึ้นตามผิวได้เป็นอย่างดี
6. ครีมกันแดด
ครีมกันแดดนั้นควรทาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ก็ยังมีสรรพคุณในการรักษาอาการไหม้ของผิวจากแสงแดดอีกด้วย เมื่อเกิดอาการไหม้ของผิวจากแสงแดด ให้ทำการทาครีมกันแดดในบริเวณนั้นต่อไปอีก 2 สัปดาห์ พร้อมกับพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด ผิวจะเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าทิ้งไป ผิวหนังชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นมาแทนก็จะกลับมาเนียนใสได้เหมือนเดิม
7. ไม่ขัดหรือสครับผิว
เพราะการขัดผิวนั้นจะทำให้ผิวบางลง ควรที่จะฟื้นฟูให้หายดีและขาวขึ้นก่อน จึงทำการขัดหรือสครับผิวในขั้นตอนต่อไป
ในส่วนของโรคมะเร็งผิวหนังนั้นมักพบในคนผิวขาว ซึ่งพบได้น้อยในคนไทยที่มีสีผิวเข้มกว่าแต่ไม่ควรชะล่าใจค่ะ ต้องหมั่นสังเกตว่าผิวมีความผิดปกติ เช่น มีตุ่มนูนหรือก้อนบนผิวที่ขยายตัวเร็วหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่มีไฝ ควรตรวจดูบ่อยๆ ว่าไม่บนตัวของคุณมีการเปลี่ยนแปลงของสีและขนาดหรือเปล่า เพราะไฝบอบบางต่อแสงแดดมาก หากโดนแดดมากๆ อาจกลายเป็นมะเร็งเนื้อร้ายได้ นอกจากนี้ อาการผื่นแพ้แดด ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่เกิดจากการโดนแสงแดดกระตุ้น ทำให้เกิดอาการผื่นคันด้วย
แม้ว่าแสงแดดจะเป็นอันตราย แต่ก็มีข้อดีอยู่ในส่วนที่แสงแดดอ่อนๆ ไม่รุนแรงในช่วงเช้าๆ และ เย็นๆ แต่ในช่วงที่แสงแดดรุนแรงนั้นเป็นอันตรายต่อผิวและสุขภาพอย่างแท้จริงค่ะ ดังนั้นสาวๆ ไม่ลืมที่จะปกป้องผิวจากแสงแดดในทุกๆ วัน แม้ในวันที่ครึ้ม เมฆปกคลุมเยอะ หรือคุณอยู่ในร่ม หรือแสงแดดในทุกฤดูกาล การปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงแสงแดดรุนแรง และรักษาสุขภาพให้แข็งแรง คุณก็จะปลอดภัยจากแสงแดด มีผิวสวย สุขภาพดีได้เสมอแน่นอนค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com