สุดยอดสมุนไพรแก้ไข้..ยาดีใกล้ตัวจากธรรมชาติ!!
advertisement
อาการไข้ นั่นก็คืออุณหภูมิในร่างกายขึ้นสูง ตัวร้อน ปวดหัว วิงเวียน นับเป็นอาการเจ็บป่วยที่เรามักจะพบได้บ่อยๆ เลยทีเดียวนะคะ เมื่อเป็นไข้เราก็มักจะไปพบแพทย์ หรือหาซื้อยามารับประทาน บรรเทาอาการของไข้ แก้ไข้ให้หาย แต่คุณรู้หรือไม่คะว่า นอกจากยาแผนปัจจุบันที่มีวางขายนั้นแล้ว สมุนไพรหลายๆ ชนิดยังสามารถช่วยแก้ไข้ได้ด้วย ได้ผลดีแถมยังมีประโยชน์ดีๆ ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ ที่สำคัญยังไม่มีผลข้างเคียงทำร้ายสุขภาพอีกด้วย สมุนไพรอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันกับ Kaijeaw.com ค่ะ
advertisement
แพทย์แผนไทยใช้ยาสมุนไพรจำพวกที่มีรสขม ช่วยรักษาอาการไข้ อักเสบ สมุนไพรรสขมมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดไข้ บำรุงโลหิตและน้ำดี ช่วยในการเจริญอาหารและย่อยอาหาร ช่วยให้นอนหลับและขับถ่ายได้ดี สารรสขมที่พบส่วนใหญ่เป็นสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ (alkaloid) และกลุ่มเทอร์ปีนส์ รวมถึงกลุ่มกลัยโคไซด์ (glycoside) และฟลาโวนอยด์แต่มีส่วนน้อย
อัลคาลอยด์เป็นสารอินทรีย์ที่มีรสขมไม่ละลายน้ำแต่ละลายได้ดีในตัวทำละลายอินทรีย์ ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท สำหรับเทอร์ปีนมีอยู่หลายชนิด แต่มีพวกไดเทอปีนส์ที่มีสารรสขมมากที่สุด เช่น ในฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีฤทธิ์แก้ไข้และพบว่าช่วยปกป้องตับจากสารพิษ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น ต้านการอักเสบและแก้ท้องเสีย กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ต้านแบคทีเรีย รักษาโรคในระบบทางเดินหายใจ แก้หวัด แก้เจ็บคอ
สารรสขมทำหน้าที่ในการกระตุ้นไขกระดูกผลิตเม็ดเลือดขาวออกมากินเชื้อโรคที่เม็ดเลือดแดง คือทำหน้าที่กวาดล้างสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ แต่ถ้ารับประทานรสขมมากไปก็จะส่งผลให้เม็ดเลือดขาวมากเกินไปจนไปกินเม็ดเลือดแดงได้ ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง จึงห้ามใช้ยารสขมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 7 วัน
ข้อควรคำนึงคือ รสขมแสลงกับคนที่เป็นโรคหัวใจ หรือคนที่มีอาการท้องอืดเฟ้อจุกเสียดแน่นอ่อนเพลีย กำลังตก แต่ในกรณีที่เป็นไข้มีอาการหนาวสั่นเนื่องจากภายในร่างกายมีความเย็นจึงมีอาการหนาวสั่น กลุ่มนี้จะไม่ใช้ตัวยารสขมหรือยาเย็นเพราะยิ่งไปเพิ่มความเย็นภายในร่างกาย แต่จะใช้ตัวยาที่มีรสร้อน เช่น ขิง เพื่อไล่ความเย็นออกจากร่างกาย
[ads]
สมุนไพรที่ช่วยแก้อาการไข้ ได้แก่
advertisement
1. ฟ้าทะลายโจร
ใช้ใบหรือได้ทั้งต้น มีรสขม มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ แก้หวัด แก้ทอนซิลอักเสบ แก้บิด แก้ท้องเดิน
วิธีการคือใช้ใบและกิ่ง 1 กำมือ (แห้งหนัก 3 กรัม สดหนัก 25 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ สามารถเลือกใช้ฟ้าทะลายโจรแบบเม็ดและแคปซูลที่มีวางขายอยู่ทั่วไปได้
ข้อควรระวังคือ ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็น ใช้ติดต่อกันได้ไม่เกิน 7 วัน ถ้าใช้ในระยะยาวกว่านี้อาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่นหรือมือ-เท้าเย็น กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย หรืออ่อนเพลีย กำลังตกได้
2. บัวบก
ใช้ใบสด ใช้เป็นยาภายนอกรักษาแผลเปื่อย แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก โดยใช้ใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียด คั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อยๆ หรือใช้กากพอกด้วย แผลจะสนิท ลดการเกิดแผลเป็นชนิดนูน (Keloid) สารที่ออกฤทธิ์คือ กรด Madecassic, กรด Asiatic และ Asiaticoside ช่วยในการสมานแผลและเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ ระงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองและลดการอักเสบ มีรายงานการค้นพบฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา อันเป็นสาเหตุของโรคกลาก ปัจจุบัน มีการพัฒนายาเตรียมชนิดครีม ให้ทารักษาแผลอักเสบจากการผ่าตัด
วิธีการคือ น้ำต้มใบสดใช้ดื่มช่วยลดไข้ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเหม็น เจ็บคอ ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย
3. บอระเพ็ด
พืชเถาที่มีรสขมเย็น แก้ไข้ทุกชนิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้เลือดเย็น บำรุงน้ำดี บำรุงธาตุไฟ เจริญอาหาร
วิธีการคือใช้เถา 30-40 กรัม ตำคั้นเอาน้ำดื่ม หรือต้มกับน้ำสะอาด โดยต้มน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือน้ำยา 1 ส่วน ใช้ดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือเมื่อมีอาการ
4. ใบกระเพรา
ใบกระเพรามีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ ทำให้จมูกโล่ง ฆ่าเชื้อในทางเดินหายใจ
วิธีการคือ นำใบกระเพราผึ่งให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำร้อน ดื่มเป็นชา หรือจะนำใบกระเพราสดๆ มาชงเป็นชาก็ทำได้ โดยจะให้กลิ่นที่แรงกว่าชาแห้ง นอกจากนั้นการนำมาปรุงอาหารก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
5. มะตูม
มีฤทธิ์ช่วยขับเสมหะ แก้ร้อนในได้ดี
วิธีการคือนำมะตูมแห้งมาต้มชงเป็นชา ทานอุ่นๆ ชุ่มคอมาก
advertisement
6. ดอกบัวหลวง
เกสรและดอก มีรสฝาดหอม มีสรรพคุณแก้ไข้ แก้เสมหะและโลหิต บำรุงครรภ์ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง
วิธีการคือใช้เกสรดอกหรือทั้งดอก ต้มเอาน้ำดื่มแก้ไข้ หรือจะใช้กลีบดอกปรุงเป็นอาหารแก้ไข้ได้เช่นกัน
7. หญ้าดอกขาว
ทั้งต้นมีรสเย็นขื่น มีสรรพคุณช่วยลดไข้ แก้ไอ
วิธีการคือเอาทั้งต้นและใบนำไปต้มกับน้ำดื่มแก้ไข้
8. หญ้าตีนนก
ทั้งต้นมีรสขมเย็น มีสรรพคุณช่วยแก้พิษไข้ แก้ไข้เพื่อดี แก้ดีแห้ง แก้ดีซ่าน
วิธีการคือ เอาทั้งต้นต้มกับน้ำดื่มแก้ไข้ ช่วยให้จิตใจชุ่มชื่นและแก้ช้ำใน
9. คูน
ดอก รสขมเปรี้ยว มีสรรพคุณแก้ไข้ ระบายท้อง แก้พรรดึก แก้แผลเรื้อรัง แก้โรคกระเพาะอาหาร
วิธีการคือเอาดอกคูนปรุงเป็นของหวานหรืออาหารรับประทานแก้ไข้
10. พะยอม
มีสรรพคุณ เปลือกต้นต้มน้ำดื่มเป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเดินและสำไส้อักเสบ สารที่ออกฤทธิ์คือ แทนนิน นอกจากนี้ยังใช้เปลือกต้นเป็นยากันบูดด้วย
วิธีการคือ ดอก ใช้เป็นยาลดไข้ เข้ายาหอมบำรุงหัวใจได้
[ads]
advertisement
11. กระเทียม
มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์เหมือนแอสไพริน จึงทำให้ไข้ลด และยังป้องกันการเป็นไข้หวัดได้อีกด้วย
วิธีการคือ กินกระเทียมสดๆ กับอาหาร หรือนำกระเทียมมาบุบให้แตก ชงในน้ำร้อนไว้ดื่ม หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่มะนาวหรือน้ำผึ้งก็ได้
12. ตะไคร้
มีฤทธิ์ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ แก้อักเสบ จึงสามารถบรรเทาอาการหวัดได้
วิธีการคือ น้ำต้นไคร้สัก 2-3 ต้น บุบเล็กน้อยแล้วนำมาต้มน้ำ ทานเป็นชา กลิ่นหอมของตะไคร้สามารถช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ส่งผลดีต่อร่างกายอีกด้วย
13. กระเจี๊ยบ
ดอกกระเจี๊ยบมีสีแดง อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ช่วยสร้างสมดุลให้แก่ร่างกาย ต้านหวัด ขับปัสสาวะ จากการวิจัยพบสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส ลดการติดเชื้อ ลดปริมาณเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่
วิธีการคือ นำดอกกระเจี๊ยบมาต้มน้ำดื่ม แล้วกรองเอาเนื้อทิ้ง เพิ่มรสชาติด้วยน้ำตาลเล็กน้อย เราก็จะได้ชากระเจี๊ยบที่มีสีแดง รสออกเปรี้ยวไว้รับประทาน และทำให้ชุ่มคอ
14. หญ้าตีนกา
ใช้ทั้งต้น มีรสขมเย็น แก้พิษไข้ ทำให้ใจชุ่มชื่น แก้ช้ำใน
วิธีการคือให้ใช้ทั้งต้นประมาณ 1 กำมือ ต้มเอาน้ำดื่มลดไข้ ช่วยให้จิตใจชุ่มชื่นหรือทั้งต้นตำกับเหล้า ใช้พอกหรือทาแก้ฟกบวม แก้ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย
15. ดอกชบา
ดอกไม้มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร รสหวานเย็น
วิธีการคือใช้ดอกชบา 4 ดอกแช่ในน้ำต้มสุก 2 แก้ว แล้วดื่มต่างน้ำ จะช่วยดับร้อนผ่อนกระหายและแก้ไข้ได้ดี
จะเห็นได้ว่าสมุนไพรเหล่านี้ช่วยบรรเทาและรักษาอาการไข้ได้จริง โดยที่เราก็พอจะมีความรู้ในเรื่องนี้ แต่ก็มักจะละเลย หรือหลงลืมไปบ้าง ดังนั้นแล้ว หากมีอาการไข้ อย่าลืมเลือกสมุนไพรจำพวกนี้มาใช้ด้วยนะคะ หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่น ปลอดภัยจากผลข้างเคียงของยาต่างๆ แน่นอน หากใช้แล้วอาการไข้ยังไม่ดีขึ้น อย่าปล่อยไว้นาน ต้องรีบไปพบแพทย์นะคะ เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดเจน และรักษาได้อย่างทันท่วงที เพราะอาจมีสาเหตุเกิดจากโรคร้ายได้
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com