กลิ่นตัว…เรื่องที่ทุกคนต้องใส่ใจ!!
advertisement
"กลิ่นตัว" ของคนเรานั้น แตกต่างกันไปค่ะ บางคนกลิ่นตัวน้อยก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในคนที่กลิ่นตัวแรงๆ กลิ่นเหม็นเปรี้ยว! หรือเหม็นสาบ! สร้างปัญหาได้อย่างมากมายค่ะ นอกจากจะเหม็นและรำคาญตัวเองแล้ว ยังรบกวนคนรอบข้างอีกด้วย โดยเฉพาะคนใกล้ตัว หากกลิ่นตัวเหม็นมากๆ ก็จะทำให้คนอื่นระอาไม่อยากเข้าใกล้เราได้ บั่นทอนความมั่นใจเสียจริง ดังนั้นใครที่มีปัญหากลิ่นตัวแรงๆ เหม็นสาบ อย่าละเลยนะคะ ต้องหาวิธีการแก้ไขกัน ซึ่งวันนี้ Kaijeaw.com ก็มีเรื่องราวของกลิ่นตัวมาบอกกัน ตามไปดูค่ะ
[ads]
advertisement
> กลิ่นตัวเกิดจากอะไร?
– สารที่สร้างมาจากต่อมกลิ่น (apocrine gland) ซึ่งพบมากที่บริเวณรักแร้และหัวหน่าว ต่อมกลิ่นพบได้ตั้งแต่เกิดแต่จะเริ่มทำงานในช่วงวัยรุ่น มีหน้าที่ในมนุษย์คือการสร้างกลิ่นซึ่งเป็นลักษณะทางเพศแบบหนึ่ง สารที่หลั่งจากต่อมกลิ่นประกอบด้วย กรดไขมันหลายชนิด (fatty acid, sulfanyl alkanols และ steroid) มีลักษณะเหลวข้นไม่มีกลิ่น เมื่อหลั่งออกมาด้านนอกของผิวหนังสารดังกล่าวจะถูกเชื้อแบคทีเรีย (Corynebacteria spp.) เปลี่ยนให้เป็นสารที่มีกลิ่นซึ่งคือแอมโมเนียและกรดไขมันสายสั้น
– เกิดจากเหงื่อ ร่างกายเราจะมี 2 ส่วนที่เหงื่อออกมาก นั่นคือ บริเวณฝ่ามือ-ฝ่าเท้า ซึ่งลักษณะเหงื่อเป็นน้ำใสๆ มีกลิ่นเล็กน้อย และบริเวณข้อพับ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นเหงื่อที่มีกลิ่นเหม็นรุนแรงกว่า มีความหนืดกว่า ซึ่งกลิ่นเหม็นนั้นเป็นเพราะความอับชื้นและมีการหมักหมมร่วมกับเชื้อแบคทีเรีย
> กลิ่นตัวกับภาะวะเหงื่อออกมากสัมพันธ์กันหรือไม่?
กลิ่นตัวจะมาจากต่อมกลิ่น ต่างกับเหงื่อที่มาจากต่อมเหงื่อ กลิ่นตัวอาจมาร่วมกับภาวะเหงื่อออกมากหรือไม่ก็ได้
advertisement
> กลิ่นตัวต่างจากกลิ่นเหงื่ออย่างไร?
ปกติเหงื่อที่หลั่งมาจากต่อมเหงื่อจะไม่มีกลิ่น บางภาวะอาจทำให้เหงื่อมีกลิ่นได้ เช่น รับประทานกระเทียม แกง หรือยาบางชนิด
> สาเหตุของกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์จำแนกได้เป็น 3 ประเภท
1. เกิดจากพันธุกรรม
2. เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ วัณโรค คอหอยพอก โรคหัวใจ โรคทางสมอง หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน
3. ไม่แน่ชัด โดยสิ่งแวดล้อม อย่างสภาพอากาศร้อนก็เป็นตัวเร่งให้เหงื่อออกมาก โดยจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ
advertisement
แนวทางการรักษาด้วยยา
ในกรณีที่มีกลิ่นตัวแรงมาก อาจจะต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังเกี่ยวกับวิธีการรักษาโดยตรง ซึ่งการรักษาด้วยการ 'ฉีดโบท็อกซ์' ที่นอกจากจะช่วยลดรอยย่นบนใบหน้าได้แล้ว มันยังสามารถลดเหงื่อบริเวณใต้รักแร้ได้ด้วย (ขับเหงื่อน้อยลง) ส่งผลให้กลิ่นตัวของคุณลดน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องฉีดยากระตุ้นอยู่เรื่อยๆ ทุก 3-4 เดือน
อีกวิธีหนึ่งเรียกว่า 'miraDry' โดยการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร วิธีนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้กับต่อมเหงื่อใต้รักแร้เท่านั้น ที่ไม่เพียงแต่จะขจัดกลิ่นใต้วงแขนให้หมดไป แต่ยังทำร้ายรูขุมขน และกำจัดขนใต้วงแขนได้อีกด้วย
การผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งได้ผลดีแต่อาจทำให้เกิดแผลได้
แนวทางในการป้องกันการมีกลิ่นตัว
1. ดูแลรักษาความสะอาดและอาบน้ำอย่างสม่ำเสมอ การล้างบริเวณรักแร้บ่อยๆ ด้วยน้ำสะอาดจะลดปริมาณสารก่อกลิ่นที่หลั่งจากต่อมกลิ่นได้ การล้างด้วยสบู่ฆ่าเชื้อจะช่วยลดปริมาณแบคทีเรียแต่ไม่ควรล้างบ่อยเพราะอาจเกิดการระคายเคือง
advertisement
2. หลีกเลี่ยง สภาพอากาศหรือภาวะที่ร้อนจัด อบอับชื้น
3. น้ำยาดับกลิ่นแบบดีโอดูแรนท์ (deodorant) ช่วยลดกลิ่นแต่ไม่ช่วยลดเหงื่อ ซึ่งการใช้ยาทาประเภทนี้ต้องระวัง เพราะในบางคนอาจเกิดอาการแพ้และทำให้เกิด ผื่นดำได้ อย่างไรก็ดีไม่แนะนำการใช้โรลออนที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้แล้วทำให้เกิดอาการดำได้ หากปัญหากลิ่นตัวที่มีสาเหตุจากเหงื่อออกมาก ก็ควรหาวิธีรักษาเพื่อระงับเหงื่อดีกว่า
4. ยาระงับเหงื่อหรือแอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ซึ่งจะทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ แต่ไม่ควรใช้ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ ดำจากผื่นได้ โดยประเภทที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมักผสมน้ำหอม ทางที่ดีจึงควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อได้
5. การใช้น้ำหอมฉีดพ่นเพี่อกลบกลิ่นตัว แต่ต้องระวังการผื่นแพ้น้ำหอมที่อาจเกิดได้
advertisement
6. การกำจัดขนบริเวณรักแร้ เพื่อป้องกันแบคทีเรียและการสะสมของสารก่อกลิ่น
[ads]
7. อาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม ทุเรียน ชะอม สะตอ เป็นต้น เป็นสาเหตุของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ให้โทษเสียอย่างเดียว เพราะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ
เพราะกลิ่นตัวนั้นสร้างปัญหารบกวนผู้อื่น และบั่นทอนความมั่นใจของตัวเราเอง ดังนั้นหากรู้ตัวว่าเป็นผู้ที่เหงื่อออกมาก และกลิ่นตัวแรง จนยาระงับกลิ่นใดๆ ก็ไม่สามารถหยุดปัญหาได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ เพื่อหาสาเหตุให้พบและรักษาได้ตรงจุด
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com