สาวไทยช่วยนักท่องเที่ยวฝรั่ง แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน..ทุกอย่างเลยจบแบบนี้..อ่านแล้วน้ำตาซึม!
advertisement
เรื่องราวของความประทับใจ และความมีน้ำใจของคนไทยที่ได้เข้ามาตั้งกระทู้เล่าเรื่องราวไว้ในเว็บไซต์พันทิป ซึ่ง Kaijeaw.com เห็นแล้วก็อดแชร์ไม่ได้ โดยคุณ แม่มณี มีลูกแมวเหมียว ได้โพสต์เล่าเอาไว้ว่า
เรื่องมันเริ่มขึ้นจากที่เจ้าของกระทู้ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่สนามบินแห่งชาติของบ้านเรา หน้าที่หลักๆ คือตระเวณออกสัมภาษนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับยังมาตุภูมิ
แต่วันนั้นทั้งวันเดินจนปวดน่อง ก็ไม่เห็นเป้าหมายที่หมายตาเอาไว้ ด้วยวัยและร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้สังขารเริ่มอ่อนล้า
เราเลยหย่อนตูดใหญ่ๆ นั่งพักเอาแรง โดยไม่ทันสังเกตุว่ามี"ฝรั่งแบคแพค"สองสามีภรรยานั่งอยู่ก่อนแล้ว ภรรยาหันหน้ามาหาเรา ไอ้เราก็ดีใจสุดขีดเพราะคิดว่านางคงเป็นเป้าหมายที่เรารอมาแล้วทั้งวัน บทสนทนาจึงเริ่มขึ้น
เรา : คุณมาจากไหนค่ะ ฉันขออนุญาติสัมภาสคุณได้ไหม
ฝรั่ง : ฉันมาจากเยอรมัน ฉันอยู่ที่นี้มาหนึ่งวันแล้ว ฉันไม่ได้อาบน้ำ ฉันกลัว ฉันอยากกลับบ้าน บรา…บรา…(เราแปลไม่ทัน )
เรา : โชว์ตั๋วของคุณให้ฉันดูหน่อยได้ไหม เผื่อฉันช่วยอะไรได้บ้าง
เธอรีบปาดน้ำตา(เธอพูดไปร้องไห้ไป) ก่อนจะหันไปบอกสามีว่าให้เอาเอกสารจองตั๋วเครื่องบินออกมา วินาทีนั้นเพิ่งสังเกตุเห็นหน้าเธอชัดๆว่าแววตาอ่อนล้า เนื้อตัวมอมแมม หน้าตาของเธอดูแก่กว่าอายุจริงมากๆ รูปร่างผอมสูงค่อนไปทางแห้ง ประกอบกับผมสีบอร์นที่ดูคล้ายฟางข้าว
ยิ่งทำให้ดูน่าสงสารมาก สามีของเธอยื่นเอกสารการจองตั๋วให้เรา ซึ่งในนั้นระบุว่าทั้งคู่ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวานก่อน เราเลยเอาเอกสารแผ่นนั้นเดินไปถามให้ที่เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ คำตอบมีเพียงแค่ว่าให้รอ………………..โดยมีฝรั่งสาวยืนหน้าเคาเตอร์ยกมือไหว้ขอความเห็นใจ ความรู้สึกของเรามันจุกเลย
เจ้าหน้าที่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอร้องขอ เธอก็แค่อยากได้คำตอบว่าเมื่อไหร่เธอกับสามีจะได้บินกลับบ้าน แต่………….คำตอบคือพูดแค่ว่า"รอ" เป็นการรอที่ไร้ซึ้งจุดหมาย รอแบบไม่มีความหวัง อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเธอเป็นคนหนึ่งในครอบครัวเรา เราหรือจะทนให้คนในครอบครัวยืนยกมือไหว้น้ำตาคลอตลอดเวลาขอความเห็นใจจากคนที่ไม่ได้แม้แต่หันมามองเธอด้วยซ็ำ
เราบอกเธอว่าให้กลับมานั่งที่เดิมเถอะ เราจะช่วยเธอ
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงินอยู่ 200 บาท แล้วฉันจะช่วยฝรั่งคู่นี้ได้ยังไง?????
แต่ในเมื่อบอกว่าจะช่วย ก็ต้องช่วย "เสียชีพ อย่าเสียสัตย์ " ลูกเสือเนตรนารีสอนไว้
เรารีบเดินมาหาน้องคนรู้จักคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน และเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้"เพื่อนสาว"ฟัง
เธอเอ่ยขึ้นมาเบาๆว่า
"คุณแม่ทำงานสาธารณกุศลอีกแล้วนะ งานหลวงไม่ขยับ งานราษฎร์เดินตลอด" [ads]
คำพูดของเพื่อนสาวทำให้เรานึกว่าเธอจะไม่ช่วยฝรั่งคู่นี้ แต่….ผิดคาดอย่างแรง
เมื่อเพื่อนสาวเห็นสภาพและได้ฟังปัญหาที่เกิดขึ้น (เพื่อนสาวเก่งภาษาอังกฤษกว่าเรา) จับใจความได้ว่า ฝรั่งคู่นี้มาจากประเทศเยอรมันเดินทางมาพักที่เกาะช้างเดือนครึ่ง และเป็นครั้งที่สองในการเดินทางมาไทย เค้าทั้งคู่คิดว่าทุกอย่างในไทยจะต้อง"เป๊ะ" ไม่ว่าเรื่องเวลาหรืออะไรก็ตาม เค้าเลยเตรียมเงินมาพอดีพร้อมบัตรเครดิต แต่วันเดินทางกลับมีแท๊กซี่อ้างว่าสามารถพาฝรั่งคู่นี้มาถึงสนามบินได้ทันเวลา ไม่ต้องห่วง แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่โม้ไว้ ฝรั่งมาทันที่สนามบินก็จริง ได้เช็คอินหน้าเค้าเตอร์แล้วแต่เกิดปัญหาเรื่องเวลาทำให้ขึ้นเครื่องไม่ได้ ฝรั่งคู่นี้ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก ซึ่งในตัวพวกเค้าไม่มีเงินสดเลย บัตรเครดิตก็มีปัญหารูดไม่ได้
เค้าเลยทำได้แค่รอ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมาเรียกเค้าไปเช็คอิน แต่เงินล่ะ….จะเอาจากไหนมาจ่าย จนกระทั่งมาเจอเรา ฝรั่งผู้หญิงเล่าว่าเธอนอนไปกับที่นั่งในสนามบิน ยิ่งดึกยิ่งหนาว ไม่มีผ้าหม เธอนอนร้องไห้เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้กับชีวิตของเธอ
เธอเหลือเงินในกระเป๋าเป็นเงินไทยน่าจะประมาณสองสามร้อยบาท เธอกับแฟนพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักที่เกาะช้าง ซึ่งในตอนแรกก็ติดต่อไม่ได้
หลังจากเพื่อนสาวมาได้ฟังและเห็นสภาพของฝรั่งคู่นี้
"ไปนอนกับฉันก็ได้นะ"………..อึ้งค่ะอึ้ง เพื่อนสาวเอ่ยปากชวนฝรั่งคู่นี้มานอนด้วย
ไม่คิดว่าเพื่อนสาวจะแสดงความมีน้ำใจขนาดนี้555
เพื่อนสาวหันมากระซิบเบาๆว่า
"คุณแม่ขา คุณแม่ดูซิ เค้าไม่มีตังค์พอค่าโรงแรมหรอก ให้เค้ามานอนห้องหนูก็ได้ แต่คุณแม่ต้องมานอนด้วยนะ!!!!!!!!!!!!!!!"
มหากาพย์จึงเริ่มขึ้น จะหาผ้าห่มจากไหน หาหมอนจากไหน ค่ากินอีกล่ะ ………..แต่ในเมื่อเราเจอคนตกทุกข์ได้ยากจะปล่อยทิ้งขว้างได้ยังไง เราเลยขอตัวกลับบ้านก่อน ไม่ได้หนีไปไหนนะ55 แต่กลับไปขนเอาผ้าห่ม หมอน และของกินจากบ้านมาไว้ที่ห้องพักของเพื่อนสาว
เพื่อนสาวเช่าห้องน้อยๆ อยู่กับคู่หูดูโอ ซึ่งท้งสองสาวมีมติเป็นเอกฉันท์จะช่วยเหลือฝรั่งคู่นี้ ตามความสามารถและกำลังที่เราช่วยเค้าได้
เมื่อมาถึงบ้านเราก็รีบเล่าให้แม่ฟัง เพราะต้องยืมหมอนกับผ้าห่มจากแก แม่บอกว่ารอก่อนๆๆ แม่หายเงียบเข้าไปในห้องหยิบกระป๋องใส่มันฝรั่งเลย์เล็กที่เงินฉบับละ 100 และ 20 บาทอัดอยู่ในนั้น แม่ยื่นเงินมาให้ 100 บาท บอกว่าให้เอาไปซื้อข้าวให้ฝรั่งกิน
น้ำตาอีลูกจิคลอเบ้า5555
ปกติแม่ไม่แคะกระปุกมหัศจรรย์ของแกให้ใครง่าย ๆ ตามประสาคนแก่ที่ไม่มีรายได้อะไร แต่วันนี้แม่แกะกระปุกมหัศจรรย์ยื่นเงินมาให้
เรามาถึงห้องพักของเพ่ือนสาวเกือบสองทุ่ม กลับมาก็เจอฝรั่งคู่นี้ ซึ่งตอนนี้อาบน้ำแล้วดูดีขึ้นเป็นกอง ฝรั่งผู้หญิงดึงเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าที่ส่งกลิ่นอับคลุ้งไปทั่ว จนเราต้องบอกให้เธอเอาเสื้อผ้าออกมาตาก
เพื่อนสาวชวนทุกคนออกไปกินข้าว มีร้านเสต๊กเล็กๆหน้าที่พัก จานละ 69 บาท เรากับเพื่อนสาวอีกสองคน ลงขัณฑ์ช่วยกันออกค่ากินให้สองสามีภรรยาคู่นี้ พวกเค้าดูทำท่าเหมือนไม่อยากกิน เรารุ้ได้เลยว่าพวกเค้าเกรงใจมาก ฝรั่งผู้หญิงเป็นมังสวิรัต ส่วนฝ่ายชายกินได้หมดทุกอย่าง คืนนั้นหลังกลับจากร้านเสต็ก ฝรั่งผู้หญิงก็นอนร้องไห้หงิงๆทั้งคืน
เธออาจจะคิดว่าทำไมชีวิตเธอลำบากขนาดนี้ ต้องมานอนพื้น แต่สำหรับเรา ความลำบากที่ได้รับทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น จะนอนพื้น นอนบนเตียง หรือนอนที่ไหน ก็นอนได้ ขอแค่มีที่ซุกตัวลงไปเป็นพอ
เช้าวันต่อมา เรารีบตื่นแต่เช้าออกไปเซเว่นหน้าปากซอย ซื้อของกินเข้ามาเผื่อฝรั่งคุ่นี้ สิ่งที่ทำให้เราต้องตกตะลึงคือ ฝรั่งผู้ชายดื่มกาแฟถึง 3 แก้ว!!!!!!!!!! ขนมปังกับกล้วยยื่นให้เท่าไหร่ก็หมด เรารู้สึกดีใจนะที่เค้าสามารถกินได้ เพราะดูจากเมื่อคืนเค้าจะกินอะไรก็ดูเป็นเกรงใจไปทั้งหมด มีช่วงจังหวะหนึ่งที่เพื่อนเราปล่อยสัญญาณไวไฟให้เค้าสามารถใช้เน็ตเพื่อติดต่อครอบครัวที่เยอรมันได้ เค้าโทรไปหาแม่ ฝรั่งผู้หญิงบอกกับแม่ว่าเธอสบายดี เธอกำลังจะกลับ แม่ไม่ต้องห่วง แต่พอวางสาย…….เธอร้องไห้โฮกอดสามีไว้แน่น เราคิดว่าเราเข้าใจเธอนะ เธอคงไม่อยากให้ที่บ้านเป็นกังวล
เรากับเพื่อนๆ รีบพาเค้ามาเช็คอินและสอบถามเกี่ยวกับที่นั่งอีกครั้ง
ในความโชคร้าย ก็ยังพอมีโชคดีอยู่บ้าง
ในความขึ้นชื่อเรื่องบริการยอดแย่ของพนักงานสนามบิน ก็ยังมีพนักงานที่มีน้ำใจอยู่บ้าง
"พนักงานสาวใหญ่ชุดม่วง"คนนั้นถึงเธอจะทำหน้ายุ่ง น้ำไม่ยิ้ม พูดห้วนๆ แต่เธอก็ยังมีน้ำใจโทรไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องตั๋วให้กับฝรั่งคู่นี้ สรุปว่าฝรั่งต้องจ่ายค่าตั๋วเพิ่มเป็นคนละ 8700 บาท
ฝรั่งโทรไปขอความช่วยเหลือเรื่องเงินจาก"เพ่ื่อนที่เกาะช้าง" ใครว่าคนไทยไม่มีน้ำใจ คงไม่ใช่ เพื่อนคนนี้จริงๆแล้วเป็นเจ้าของกิจการห้องพักที่เกาะช้าง เธอโอนเงินมาให้ก็เกือบเช็คอินจะปิดอยู่แล้ว เรารีบลากกระเป๋าฝรั่งสองคนไปที่เคาเตอร์เช็คอิน ส่วนเพื่อนๆที่เหลือแยกกันไปบางคนช่วยไปจ่ายค่าตั๋ว อีกคนที่เหลือก็นำเงินส่วนต่างไปแลกเป็นเงินหยวนเพื่อให้ฝรั่งติดตัวไว้ เพราะฝรั่งคู่นี้ต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศจีน มีเงินหยวนติดตัวไปเพื่อซื้ออาหารระหว่างรอต่อเครื่อง
มีหลายคนบ่นว่าฝรั่งน่าจะโทรไปยืมเงินเพื่อนที่เกาะช้างตั้งแต่ต้น ก็จะไม่ได้ติดค้างอยู่ที่สนามบิน แต่เราเชื่อว่าฝรั่งคู่นี้ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆเค้าก็คงไม่กล้าโทรไปขอยืมเงิน
ภารกิจส่งฝรั่งกลับบ้านก็ได้สิ้นสุดลง เมื่อคนทั้งสองได้ขึ้นเครื่อง
เราเชื่อว่าสำหรับฝรั่งคุ่นี้แล้ว คงเป็นวันคริสมาต์ที่พวกเค้าจะลืมไม่ลง แต่สำหรับเราการได่ช่วยเหลือคนอื่นไม่มากก็น้อยถือเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง ทำบุญสวยชาติหน้า ได้เกิดหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ ทำหน้าสวยชาตินี้ ก็สวยด้วยศัลยกรรมไม่มีตังคก็สวยไม่ได้ แต่……ทำความดี เป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง ผลตอบรับจะเป็นอย่างไรไม่รู้
แต่ฝรั่งผู้หญิงพูดว่า [ads]
"พวกคุณทำให้ฉันมองคนไทยเปลี่ยนไป ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมาเมืองไทยอีกแน่นอน"
advertisement
ตอนเธอเช็คอินได้แล้ว เธอหันมากอดเราร้องไห้โฮ เสียงร้องไห้ของเธอดังลั่น เธอกอดเราเอาไว้ซะแน่น ตัวเราเองก็อยากจะร้องไห้ ถ้าวันนั้นเราทำเหมือนกับทุกคนที่แค่ถามและเดินผ่านไป เธอจะได้กลับบ้านไวไหมหนา อดคิดเล่นๆไม่ได้
ตัวเราเองก็ลำบากมาซะจนชิน ความลำบากทำให้เราแกร่งขึ้น
แต่คนที่ไม่เคยเผื่อใจว่าสักวันจะเจอความลำบาก เมื่อต้องมาเจอก็ไม่พร้อมจะตั้งรับ
advertisement
เพื่อนสาวเจ้าของห้อง ให้"ข้าวสารหอมมะลิ"ไปสองกิโลกรัม นางบอกว่าเป็นของฝากจากไทยแลนด์ พวกเราไม่ได้เป็นคนรวย แต่ก็ไม่เคยนิ่งเฉยถ้าเห็นคนลำบาก…เพื่อนสาวกล่าวไว้
advertisement
เดินทางปลอดภัยนะค่ะ คงจะเป็นวันคริสมาสต์แห่งความทรงจำจริงๆ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คงจะยืนยันได้ว่าเมืองไทยเรายังมีหลายๆมุมดีๆ และคนดีๆที่น่าชื่นชมอยู่มาก แบบนี้คงจะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยได้ไม่มากก็น้อย
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : Kaijeaw.com ขอขอบคุณที่มาจากคุณ : แม่มณี มีลูกแมวเหมียว