ช็อกโกแลตซีสต์..โรคที่ผู้หญิงที่มีโอกาสเป็น!!

advertisement
เป็นหญิงนี้ช่างลำบากนอกจากจะเป็นประจำเดือนแล้ว ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนั้นโรคนี้จากผลของการมีประจำเดือนมาน้อยกว่าปกติ ประจำเดือนมามากกว่าปกติ หรือประจำเดือนไม่มาเลย วันนี้ kaijeaw.com จะพาไปรู้จักโรคที่ฟังดูแล้วน่ารักๆแต่คุณสาวๆเป็นแล้วคงไม่แฮปปี้เหมือนกับชื่อแน่เลยค่ะ โรคนั้นก็คือ โรคช็อกโกแลตซีสต์
ช็อกโกแลตซีส คืออะไร
ช็อกโกแลตซีส หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิด (endometriosis) หมายถึง ถุงน้ำที่มีของเหลวภายใน ที่มาของชื่อถุงน้ำช็อกโกแลตซีสคือ ถุงน้ำของรังไข่แบบหนึ่ง ลักษณะของถุงน้ำภายในชนิดนี้มีของเหลวคล้ายกับช็อกโกแลตเหลว ซึ่งความจริงก็คือมีถุงเลือดอยู่ในถุงนั้น เมื่อเลือดหยุดไหลน้ำก็ถูกดูดซึมกลับ ทำให้เลือดในถุงเข้มขึ้น และเมื่อเลือดค้างอยู่ในถุงน้ำนานๆ จะกลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงเรียกเป็นถุงน้ำช็อกโกแลต
ใครเสี่ยงโรคช็อกโกแลตซีสต์บ้าง
ผู้ที่สามารถเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้ คือ ผู้หญิงที่อยู่ในวัยมีประจำเดือน ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว พบได้ไม่เกิน 5% แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์มากกว่าคนกลุ่มอื่น คือ
1. ผู้ที่มีประจำเดือนมาตั้งแต่อายุน้อย
2. ผู้ที่มีประจำเดือนรอบสั้น คือ มีมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง
3. ผู้ที่ประจำเดือนออกมามาก หรือนานกว่า 7 วัน
4. ผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะทางมารดา พี่สาว น้องสาว หากเคยเป็นโรคนี้ จะมีเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป 3-10 เท่า
5. ผู้ที่มีความผิดปกติของทางออกประจำเดือน เช่น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเยื่อพรหมจารีเปิด[ads]
อาการของโรค ช็อกโกแลตซีสต์
อาการของโรคนี้จึงขึ้นกับตำแหน่งที่เซลล์ไปเจริญเติบโตอยู่ โดยสามารถแยกพิจารณาตามตำแหน่งที่โรคไปเจริญเติบโตอยู่ดังนี้
ตำแหน่งที่เกาะ
• เยื่อบุช่องท้อง อุ้งเชิงกราน
• รังไข่
• มดลูก
• ท่อรังไข่
• ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่
advertisement

• ปวดประจำเดือน มากผิดปกติจนต้องใช้ยารักษา และอาการจะรุนแรงมากขึ้นเลื่อยๆ
• ประจำเดือนออกมากผิดปกติ อาจมาเป็นลิ่มๆ ถ้ารุนแรงจะเกิดภาะซีดได้
• ถุงน้ำรังไข่ (Chocolate cyst) ปวดท้องน้อย
• ปวดในช่องท้อง ท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน
• อาการปวดต่าง ๆ เหล่านี้ มักจะรุนแรงขึ้นขณะที่มีประจำเดือน หรือ ช่วงก่อน/ หลังมีประจำเดือน
• ในรายที่เจริญที่รังไข่ อาจจะพบว่ามีก้อนในช่องท้อง จากถุงน้ำรังไข่ ที่โตขึ้น โดยอาจจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมา
• ในรายที่เป็นโรคระยะรุนแรงจะมีพังผืดเกิดขึ้นจำนวนมาก หรือท่อนำไข่ถูกทำลายไป จากเซลล์เหล่านี้ เข้าไปเกาะหรือฝังตัวในท่อนำไข่ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหามีบุตรยากได้ หรือถ้าพังผืดไปเกาะที่บริเวณท่อไต จะทำให้ไตบวมน้ำหรือไตล้มเหลวได้
• ในกรณีเยื่อบุโพรงมดลูกหรือพังผืดไปเกาะที่ลำไส้ใหญ่ชนิดรุนแรงจะทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้[ads]
วิธีการตรวจหาช็อกโกแลตซีสต์
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจภายใน เพื่อคลำหาก้อน หรืออาจจะตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง หรือการทำอัลตราซาวด์ เพื่อหาถุงน้ำในรังไข่ แต่บางครั้งก้อนมีขนาดเล็กมา มองไม่เห็น จึงต้องใช้วิธีส่องกล้องเข้าไปในช่องท้อง โดยเปิดแผลเล็ก ๆ บริเวณใต้สะดือแล้วสอดกล้องขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร-1 เซนติเมตรลงไป เพื่อตรวจวินิจฉัยว่ามีก้อนงอกบริเวณมดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ลำไส้ หรือไม่ ซึ่งวิธีนี้เป็นการตรวจที่แน่นอนที่สุด
advertisement

หากใครพบว่าตัวเองเป็นช็อกโกแลตซีสต์ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงจนเกินเยียวยา มีหลายวิธีในการรักษาโรคนี้ ได้แก่
1.การใช้ยา หากถุงน้ำที่พบเป็นถุงน้ำขนาดเล็ก แพทย์จะให้ยารักษา โดยอาจจะให้ทานยา หรือฉีดยาเพื่อลดขนาดซีสต์ ซึ่งยาที่ใช้ก็มีทั้งกลุ่มที่มีฮอร์โมน และไม่มีฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของการใช้ยาก็คือ อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
2.การผ่าตัด ในกรณีที่ใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือถุงน้ำใหญ่มากจนเกิดอาการปวดรุนแรง หรือไปกดอวัยวะข้างเคียง ส่งผลไปถึงส่วนอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาใช้วิธีผ่าตัดเพื่อรักษาต่อไป โดยการผ่าตัดอาจตัดเฉพาะตำแหน่งของโรค หรือสลายพังผืดออก ด้วยวิธีการผ่าตัดส่องกล้องผ่านทางหน้าท้อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เคยเป็นช็อกโกแลตซีสต์ และผ่าตัดออกไปแล้ว ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ กรณีที่ผ่าตัดเอาแต่พยาธิสภาพออก แต่ยังเก็บตัวมดลูกและรังไข่ไว้ เห็นอย่างนี้แล้วคุณสาวๆ ก็อย่าละเลยตัวเองนะค่ะ นอกจากจะจะดูแลความสวยความงามภายนอกแล้ว เรื่องของภายในก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน สังเกตอาการผิดปกติของร่างการที่เกิดขึ้น หรือไปพบแพทย์ และควรตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นค่ะ
เรียบเรียงโดย: Kaijeaw.com