ทำความรู้จัก ‘คลีเมนต์ ลินด์ลีย์ แรกกี’ ต้นกำเนิดชื่อพายุ ‘ปาบึก’
advertisement
จากสถานการณ์พายุโซนร้อน "ปาบึก" ที่กำลังจะเข้าถล่มทางภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้ประชาชนต่างตื่นตัว และเฝ้าระวังกันอย่างใกล้ชิด เพราะพายุลูกนี้คาดว่าจะรุนแรงมากสุดในรอบ 30 ปี และรุนแรงเทียบเท่าพายุแฮเรียต ที่เคยถล่มแหลมตะลุมพุกเมื่อปี 2505 มาแล้ว
advertisement
สำหรับชื่อพายุ ปาบึก ตั้งชื่อโดย "คลีเมนต์ ลินด์ลีย์ แรกกี" นักอุตุนิยมวิทยา ต้นกำเนิดชื่อ "ปาบึก" ไม่ใช่ "ปลาบึก" เพราะ "ปาบึก" คือชื่อพายุหมุนเขตร้อน ที่แปลว่า "ปลาบึก" แต่เขียนว่า "ปาบึก" (ປາບຶກ) หรือ Pabuk เพราะประเทศลาวเป็นผู้ตั้งชื่อ ซึ่งคนที่มีส่วนอย่างมากในความสับสนของชื่อเรียกนี้คือ "คลีเมนต์ ลินด์ลีย์ แรกกี" นักอุตุนิยมวิทยาต้นกำเนิดแนวคิดการตั้งชื่อพายุด้วยชื่อเฉพาะ
advertisement
"คลีเมนต์ ลินด์ลีย์ แรกกี" (Clement Lindley Wragge) เป็นนักอุตุนิยมวิทยานามอุโฆษ เกิดที่วุร์สเตอร์เชอร์ ทางมิดแลนด์ตะวันตกของอังกฤษ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 1852 หลังจากมารดาของเขาเสียชีวิตตอนเขาอายุ 5 เดือน และบิดาเสียชีวิตในอีก 5 ปีต่อมา เขาย้ายไปอยู่กับยาย ผู้ที่สอนเรื่องอุตุนิยมวิทยาให้กับแรกกี
แรกกี เริ่มงานด้านอุตุนิยมวิทยาด้วยการทำงานที่สถานีตรวจอากาศในแถวสแตฟฟอร์ดเชอร์ ต่อมาเขาได้ปีนขึ้นยอดเขา เบน เนวิส ทุกวันเพื่อจดวัดค่าอากาศ และให้ภรรยาวัดค่าจากระดับน้ำทะเล ทำให้สมาคมอุตุนิยมวิทยาสก็อตแลนด์ มอบรางวัลเหรียญทองให้เพื่อเป็นเกียรติ [ads]
advertisement
ในปี 1883 เขาได้มรดกจากป้าจำนวนมาก จึงย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย แล้วเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งสมาคมอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลีย ซึ่ง แรกกี ได้ช่วยเขียนรายงานเกี่ยวกับสภาพอากาศให้กับรัฐควีนส์แลนด์ สร้างผลงานป้องกันอันตรายจากพายุให้กับชาวประมง จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักอุตุนิยมวิทยาประจำรัฐควีนส์แลนด์
แรกกี เป็นคนริเริ่มให้มีการตั้งชื่อพายุด้วยชื่อเฉพาะ จากเดิมที่ตั้งตามชื่อแหล่งที่เกิด หรือชื่อนักบุญในภาษาสเปน โดยครั้งแรกเขามีความคิดจะตั้งตามตัวอักษรกรีก แต่เปลี่ยนมาใช้ชื่อตามเทวปกรณ์ของชาวโพลีนีเซีย ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ชื่อผู้หญิงที่ให้ความอ่อนโยน และชื่อนักการเมือง ที่เขาเปรียบเทียบว่านักการเมืองนำหายนะมาสู่ประเทศไม่ต่างจากพายุรุนแรงพลังทำลายล้างสูง
แต่หลังจากแรกกีเกษียณอายุ แนวคิดตั้งชื่อนี้ก็ถูกหยุดไปด้วยเป็นเวลานานกว่า 60 ปี จนกระทั่งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นักอุตุนิยมวิทยาในกองทัพอเมริกัน ได้รื้อฟื้นวิธีตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อนด้วยชื่อสตรี ด้วยเหตุผลโรแมนติกส่วนตัวนิดๆ คือ จะได้เอาชื่อแฟน หรือภรรยาของตัวเอง มาตั้งแทนความคิดถึงของคนที่อยู่ทางนั้นว่าคนทางนี้ยังคิดถึงกันเหมือนอย่างเดิมไม่เคยเปลี่ยน
advertisement
หลังสงครามสงบ วิธีการตั้งชื่อได้พัฒนาให้เรียงตามลำดับตัวอักษร จนในปี 2000 สมาชิกของคณะกรรมการพายุไต้ฝุ่นขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organizations Typhoon Committee) 14 ประเทศ ได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศ ให้ตั้งชื่อพายุแบบใหม่ โดยให้แต่ละประเทศส่งรายชื่อพายุในภาษาท้องถิ่นมาประเทศละ 10 ชื่อ รวมเป็น 140 ชื่อ หมุนเวียนใช้ตามลำดับการเกิด
มาถึงตอนนี้ทุกคนน่าจะรู้ที่มาของชื่อ "ปาบึก" กันแล้วว่าทำไมไม่เขียนว่า "ปลาบึก" แบบภาษาไทย เพราะนั่นเป็นชื่อถอดเสียงจากภาษาลาวที่ประเทศลาวส่งเข้าประกวด
โดยชื่อ "ปาบึก" เป็นชื่อในรายชื่อพายุหมุนเขตร้อนในชุดที่ 2 ลำดับที่ 6 ของมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ผ่านมามีการตั้งชื่อพายุว่าปาบึกไปแล้ว 3 ครั้ง คือ พายุไต้ฝุ่นปาบึก ในปี 2001, พายุไต้ฝุ่นปาบึก ปี 2007 และ พายุโซนร้อนกำลังแรงปาบึก ปี 2013 ส่วน พายุโซนร้อนปาบึก ที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นพายุลูกแรกของปี 2019 ซึ่งต่อจากปาบึก จะใช้เรียกพายุว่า "หวู่ดิบ" จากมาเก๊า ที่หมายถึง ผีเสื้อ และ "เซอปัต" จากมาเลเซีย ตามลำดับ[ads2]
advertisement
นอกจากผลงานชิ้นโบว์แดงในการเป็นต้นคิดวิธีเรียกชื่อพายุแล้ว "คลีเมนต์ ลินด์ลีย์ แรกกี" ยังสร้างคุณูปการให้กับวงการอุตุนิยมวิทยาอีก ทั้งการเขียนหนังสือ "Wragge's Australian Weather Guide and Almanac" ในปี 1898 และความพยายามทดลองยิงปืนใหญ่ Steiger Vortex ขึ้นฟ้าเพื่อขอฝนในปี 1902 ซึ่งน่าเสียดายที่โครงการนี้ไม่มีฝนตกตามที่คาดไว้ จนกลายเป็นจุดเริ่มของจุดจบชีวิตการเป็นนักอุตุนิยมวิทยาของเขา
ทุกอย่างมีที่มาที่ไปและมีเหตุผล คราวนี้หลายคนก็คงหายสงสัยแล้วว่า ปาบึก คืออะไร และเหตุใดจึงเขียนชื่อว่าปาบึกอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
เรียบเรียงโดย : kaijeaw.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก The People