แชร์ประสบการณ์ผ่าทอนซิล กับน้ำหนักที่หายไป 11 กิโล
advertisement
จากกรณีที่คุณ สมาชิกหมายเลข 724171 ได้ออกมาโพสต์แชร์ประสบการณ์ผ่าทอนซิล และน้ำหนักที่หายไป 11 กิโลกรัม พร้อมระบุรายละเอียดว่า 'ผ่าทอนซิลสุดชิว และ 11 กิโลที่หายไป' สวัสดีค่ะ อยากเขียนกระทู้เรื่องนี้เป็นแนวทางให้คนที่กำลังตัดสินใจว่าจะผ่าดีไม่ผ่าดี เพราะตอนที่ตัดสินใจผ่าเราเด็ดเดี่ยวมากๆ ไม่หาข้อมูลให้จิตตกเพราะเป็นผ่าตัดแบบดมยาครั้งแรกในชีวิต เป็นพวกบ้าบิ่นพอๆกับปอดแหก.. ตอนนี้นับจากผ่าก็ประมาณ 8 เดือนแล้ว
advertisement
ทำไมถึงตัดสินใจผ่า? ปัจจุบันอายุ 26 ปี ผ่าทอนซิลเมื่อ 28 ธันวาคม 2561 โดยพื้นฐานเป็นคนทอนซิลโตอยู่แล้ว แบบว่าอ้าปากแล้วมองเห็นชัด ต้นปี 61 ไปคอนเสิร์ตแล้วโดนฝนอีกวันทอนซิลแดง โตมากและเป็นหนองทั้งสองข้าง แล้วก็เป็นปีที่ไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่ งานเยอะ และเรียนโทหนักมาก ครึ่งปีหลังก็ป่วยเจ็บคอบ่อยๆ แล้วช่วงก่อนผ่าสักเดือนสองเดือน ก็มี Tonsil Stone เยอะมาก เจ้าก้อนขาวๆที่มักหลุดมาตอนแปรงฟันบ้าง กลั้วคอบ้าง ซึ่งมีครั้งล่าสุดก็คือมัธยม… เป็นเยอะมากทั้งสองข้าง อ้าปากเห็น แต่กลั้วคอไม่ออก ต้องใช้คัตตอนบัทกดออกมา เสิร์จหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรก็ทำตาม งดของมันของทอดก็ไม่ค่อยดีขึ้น ทำให้กังวลเรื่องกลิ่นปากมากๆ เลยตัดสินใจว่าต้องจัดการละ และวิธีการที่จะหายมันหายถาวรก็คือ เอาทอนซิลออก!!
จริงๆสาเหตุที่อยากผ่ามาจากเรื่อง Tonsil Stone มากกว่าป่วยเจ็บคอบ่อยๆอีกนะ ตอนไปเจอหมอ หมอก็บอกไม่มีกลิ่นปากนะ ไม่ต้องกังวล แต่ถ้าจะผ่าเพราะป่วยบ่อยๆก็ดี แล้วจริงๆทอนซิลทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคก็จริงแต่มันทำงานได้ดีตอนที่เรายังเด็กๆ พอโตมันก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้นแล้ว เออ ! เราก็ว่าดี เพราะการที่ทอนซิลอักเสบบ่อยๆทำให้ต้องกินยาปฏิชีวนะ มันก็ไม่ดีกับตับอยู่แล้ว เป็นบ่อยก็กินยาบ่อย กินวนไป แล้วถ้าปีๆหนึ่ง ป่วยแล้วทอนซิลอักเสบเกินสัก3ครั้งก็ควรไปปรึกษาหมอเพื่อเอาออกจะดีกว่า
เข้าสู่การเตรียมตัวสำหรับผ่า อาจจะไม่เป๊ะๆ ก่อนผ่าก็จะมีการตรวจเลือด วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ประมาณอาทิตย์นึง ผลทุกอย่างปกติดี แต่ว่าวันฟังผลเรามีอาการคล้ายจะเป็นหวัดเลยโดนฉีดยาไปหนึ่งเข็มเพราะถ้าโพรงจมูกบวมก็จะสอดท่อช่วยหายใจไม่ได้ เพราะงั้นช่วงก่อนผ่าก็ต้องให้ร่างกายปกติเข้าไว้ค่ะ ก่อนผ่าก็ต้องมาแอดมิดก่อนหนึ่งคืน กินทุกอย่างที่อยากกินค่ะ กินนนนนนนนน กินตุนไว้และจะงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน ระหว่างวันก็จะมีวิสัญญีเข้ามาพูดคุยว่าเขาควรจะระวังอะไรกับเราบ้าง เช่น ฟันที่ไม่แข็งแรง ห้ามกระแทก ของเราโดนทักเรื่องรูจมูกเล็ก… ต้องใช้ท่อเบอร์เล็กสุด มีพยาบาลมาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวยังไง มารับกี่โมง ห้ามแต่งหน้านะ ห้ามทาเล็บ ไม่สวมชุดชั้นใน
advertisement
เช้าวันผ่าได้คิวแรกตอนแปดโมง ตื่นมาอาบน้ำ พยาบาลจะมาเจาะให้น้ำเกลือตอนหกโมง เจาะไม่ได้พลิกแขนจนร้องไห้เพราะเจ็บมาก ละมีปมกับการแทงน้ำเกลือไม่เข้ามาก่อน เกร็งทั้งคนไข้ ทั้งพยาบาล สรุปโดนไปสามที สักพักก็ไปห้องผ่าตัด น่าจะเป็นช่วงเวลาที่กลัวที่สุด ห้องมันเย็นมาก เวรเปลก็ชวนคุยแต่เสียงสั่นจนพี่เขาต้องบีบไหล่ปลอบ ไอ้ที่ซ่าๆจะผ่าๆนี่หายไปแล้ว เพราะบรรยากาศมันไม่ภิรมย์จริงๆ
ย้ายจากเตียงรอไปเตียงผ่า เตียงความกว้างพอดีตัวมาก เป็นอะไรที่แปลกใหม่ พยาบาลชวนคุยรอหมอ สักพักเอาอีกละ น้องรูจมูกเล็กมาก ท่อเล็กสุดจะสอดได้มั้ยหนู ขำไปอีกแต่เขาก็กังวลเรื่องรูจมูกจริงๆอ่ะนะ ละจะให้หนูทำไงอ่ะ แง้ อีกพักโดนมะรุมมะตุ้ม คนนึงก็จะใส่หน้ากากนะคะ หายใจปกติน้า อีกคนก็เดี๋ยวจะฉีดยาเข้าเส้นน้า จะแปล๊บๆที่แขนนิดนึง 4 3 2 1 ภาพตัดเลย คุณหลอกด๊าววววววววววว
อีกทีคือฟื้น เดาว่าน่าจะสิบโมง พอเริ่มรู้สึกตัวมันรู้สึกแต่ลืมตาไม่ขึ้น เป็นอะไรที่แปลกๆดี ร่างกายสู้กัน พยาบาลเดินมาให้เราย้ายตัวเองไปอีกเตียง คือเขาเอาเตียงมาชิดกันแล้วให้เรายกตัวแบบนอนนั่นแหละ ขยับไปอีกเตียง ความรู้สึกคือโลกเหวี่ยงมาก พยาบาลถามว่าอยากอาเจียนไหม ก็ได้แต่พยักหน้า ตาไม่ลืมใดๆ ฉีดยาไปก็หายเวียนหัวหลับไปอีกรอบ พอตื่นอีกรอบน่าจะเที่ยงแล้ว เหมือนแค่นอนหลับแล้วตื่นมาเฉยๆ ไม่มีอาการใดๆ คอก็ไม่เจ็บ กว่าจะได้กลับมาห้องก็บ่ายแล้ว เหตุผลคือไม่มีเวรเปล ฮะฮ่าๆ มันติดวันหยุดอ่ะเนอะ คนไม่พอ
advertisement
ทีนี้คือตาสว่างเลยคอไม่เจ็บใดๆ นอนดูทีวี คอก็โปะ Cold packไว้ บ้วนน้ำเกลือเย็นเรื่อยๆ มีเลือดปนๆแต่ยังปกติดี เพื่อนมาเยี่ยมตอนเย็นยังพูดเป็นต่อยหอย พูดเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นกับคอ จนกระทั่งการกินครั้งแรกเกิดขึ้น สิ่งนั้นคือน้ำหวานสีเขียวเย็นเจี๊ยบ ลุ้นทั้งแม่ทั้งลูก ความรู้สึกคือเหมือนมีดบาดแบบไม่เจ็บ คือน้ำเย็นมันวาบผ่านแผล แต่ก็กินได้นิดเดียวเพราะมันรู้สึกว่าต้องใช้แรงในการกลืนเยอะ กินแล้วเหนื่อย วันนั้นคือเซ็งมากที่คืนก่อนไม่ค่อยกินอะไร
advertisement
3 วันแรกเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด ถ้าเลือดออก แปลว่าต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ดมยา ปิดแผลกันใหม่ ถ้าผ่านไปได้โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนก็สบายแล้ว วันต่อมาก็หมอก็จะมาเช็กว่าเรากินได้ไหม เพราะถ้ากินไม่ได้ แปลว่าจะต้องให้น้ำเกลือ ซึ่งเราเองก็ไม่อยากให้น้ำเกลือ เดี๋ยวบวม ระหว่างนี้ก็ให้ยาผ่านทางน้ำเกลือไปด้วย เรานอนรพ. 4 คืนเพราะหมออยากให้ชัวร์ แล้วมันเป็นช่วงวันหยุดใกล้หมอจะดีที่สุด เป็นครั้งแรกที่กินไอศกรีมหนึ่งถ้วยทั้งวันก็กินไม่หมด เพราะมันกลืนยากจริงๆ กินแล้วแช่ วนไป ลักษณะแผลก็คือเราจะเห็นเป็นฝ้าขาวๆเหมือนมีแผ่นอะไรมาแปะไว้ ห้ามล้วง แคะ แกะ เกา แผลไม่ได้สยองนะ แล้วก็ห้ามไอ จาม ด้วย!! ฝืนเอา
3 วันแรก อาหารคือ น้ำ นม โยเกิร์ต ไอศกรีม ใดๆคือห้ามมีเกล็ด โจ๊กก็ไม่ได้เพราะมันมีเศษอาหาร ทุกอย่างต้องเย็นเท่านั้น คอก็โปะ cold packตลอด บ้วนน้ำเกลือเย็น แปรงฟันได้วันที่ 4 แปรงได้แต่ฟันหน้าระวังไม่ให้ไหลลงคอ พอกลับบ้านสิ่งที่เอาชนะความหิวได้คือการนอน นอนจนไม่มีแรง เพราะกินน้อยมาก มื้อนึงมากสุดก็คือไอศกรีม2-3 คำไม่ก็น้ำหวานครึ่งแก้ว เน้นจิบเอาบ่อยๆ เรากินแบบนี้จนวันไป follow up 1 สัปดาห์
advertisement
Follow up 1 สัปดาห์ หมอบอกว่าแผลดีมาก ในใจคือ แน่สิ หนูไม่ได้กินอะไรที่เสี่ยงเลยสักนิด น้ำหนักลดไปประมาณ 6kg. ตอนนี้หมอก็แนะนำให้กินโจ๊ก ไข่ตุ๋นได้ แต่ยังต้องเย็นอยู่ ซึ่งทำใจไม่ได้ อ้อ แล้วก็ห้ามมัน ห้ามเผ็ดด้วยอาหารคาวมือแรกคือน้ำซุปจากต้มจืดสาหร่ายใส่น้ำแข็ง…มันไม่ด้ายยยยยย ทำให้ยังกินแบบเดิมไปอีกอาทิตย์นึงซึ่งจริงๆหมออยากให้เคี้ยวเยอะๆเพื่อไม่ให้เป็นพังผืด แต่ก็เหมือนพระเจ้าแกล้ง จะเริ่มกินข้าวปรากฏว่าลิ้นงงรส ก็คื้ออออออ ลิ้นเพี้ยน กินอาหารปรุงรสแล้วไม่รู้ว่ารสอะไร ครบเดือนก็ไปหาหมอ
Follow up 1 เดือน แผลหายดีแล้ว แต่ปัญหาคือการรับรส เลยกินคลีนต่อเลย อาหารไม่ปรุงรสเยอะจะได้รสดีมากๆไอศกรีมก็คือเป็นเพื่อนตาย อาหารอะไรที่กินมาตลอดจะรับรสได้ปกติก็เลยกินซ้ำๆ กินเผ็ดไม่ได้เลย นิดเดียวก็ไม่ได้ ระคายคอมากแล้วก็ไม่ได้กินของทอดประมาณเดือนครึ่ง สรุป มกรา -มีนา น้ำหนักลดไป 11 kg ตอนสัปดาห์แรกที่ไปหาหมอหมอบอกว่าให้ระวัง “น้องสาวหมอก็ผ่า น้ำหนักลดไป 7kg แต่พอหายแล้วเพิ่มมา10kg” อันนี้คือหลอนมาก หลอนสุดๆ
สรุป
– ผ่าทอนซิลไม่เจ็บเลย แทงน้ำเกลือเจ็บสุด
– ถ้าดูแลดีอดทนกับความหิวได้แผลจะดีและหายเร็วมาก ปล. พยาบาลไซโคหนักมากเรื่องเลือดออกแล้วต้องเริ่มใหม่ เลยยิ่งดูแลเรื่องอาหารมากๆ
– อาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะเป็นแผลเปิด มันหายช้ากว่าแผลหายนอกอยู่แล้ว
– ลิ้นเพี้ยนเป็นอาการข้างเคียง แต่เพราะส่วนตัวเป็นคนกินยาก ไม่อร่อยก็คือไม่กิน กินคลีนง่ายกว่า
– ปัจจุบันผ่านมา 8 เดือน เพิ่งเรียนโทจบ กำลังจะรับปริญญา ไม่มีป่วยอีกเลย ไม่เจ็บคอใดๆอีก
– น้ำหนักปัจจุบันลดลงมา12-13kg เพราะก็ดูแลพอสมควร ลดนน.มาหลายครั้ง ครั้งนี้ให้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
– ถ้าใครมาปรึกษาเรื่องนี้จะแนะนำให้ผ่า เพราะชีวิตดีขึ้นจริงๆ
– ผ่ารพ.รัฐ สิทธิ์รัฐวิสาหกิจ เบิกได้ทั้งหมด ส่วนตัวจ่ายส่วนต่างห้องพิเศษเอง
จบแล้ววววว มีคำถามอะไร ถามได้เลยค่ะ เป็นประสบการณ์ความกังวลใจนิดหน่อยในตอนนั้นเพราะก็หาข้อมูลผ่านๆตา ก็จิตตกเรื่องอาการหลังผ่า เลยอยากเขียนว่าจริงๆแล้วมันไม่น่ากลัว แต่ต้องใจแข็ง ยากที่สุดก็แค่ทนกับความหิวหิวจนร้องไห้ก็งานนี้แหละ และแทงน้ำเกลือมันเจ็บจริงๆค่ะ
ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 724171