น้ำมันปลา กับคุณแม่ตั้งครรภ์
advertisement
เพราะการใส่ใจดูแลสุขภาพของแม่ในช่วงตั้งครรภ์ หมายถึงความก้าวหน้าของการตั้งครรภ์ พัฒนาการที่ดีของลูกในท้อง รวมไปถึงสุขภาพที่ดีของคุณและลูกนับตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงหลังคลอดด้วย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าโภชนาการที่ดีระหว่างการตั้งครรภ์ คือของขวัญชิ้นสำคัญที่คุณแม่สามารถมอบให้กับลูกน้อยได้ ตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก เพราะเมื่อคุณแม่มีโภชนาการที่ดี
ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ก็ย่อมส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้เจริญเติบโตได้ดี ปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดต่างๆ มากมายให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้เลือกหามารับประทานเพื่อบำรุงครรภ์ สารอาหารที่เป็นที่นิยมชนิดหนึ่งก็คือ “น้ำมันปลา” ด้วยคุณสมบัติสำคัญในการบำรุงและเสริมสร้างเซลล์สมองของลูกน้อย หลายคนคงสงสัยว่าน้ำมันปลากับมีความสำคัญต่อคุณแม่ตั้งครรภ์มากน้อยเพียงใด ตามมาดูคำตอบพร้อม Kaijeaw.com กันเลยค่ะ
advertisement
น้ำมันปลา หรือ Fish oil ได้มาจากไขมันปลา มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จําเป็นต่อร่างกาย คือกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega 3) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ พบได้มากในปลาทะเลแถบประเทศแถบอากาศหนาว ปลาทะเลเหล่านี้มีกรดไขมันจําเป็นในปริมาณที่สูง และมีไขมันประเภทคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในปริมาณที่ต่ำ จึงนิยมนําปลาทะเลเหล่านี้มาสกัดเอาน้ำมันปลา[ads]
มีประโยชน์อย่างไร ? กับแม่ท้อง
ในน้ำมันปลามี DHA เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะมีความสำคัญมากๆ ในช่วงของการตั้งครรภ์ ต่อกระบวนการสร้างองค์ประกอบที่สําคัญของเซลล์หรือเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย รวมทั้งเนื้อเยื่อสมอง เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ควบคุมการเกิดลิ่มเลือด ประสิทธิภาพในการมองเห็นที่เป็นปกติ และสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย อีกทั้งโอเมก้า 3 ที่มีในน้ำปลาจะช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดที่จะไปอุดเส้นเลือดฝอยของหัวใจ และทําให้ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันอันตรายให้ลดต่ำลงด้วย
advertisement
สมองและประสาทตาของคนเรานั้น ประกอบไปด้วยกรดไขมันหลายชนิด แต่ชนิดที่มีมากที่สุด คือ ดีเอชเอ และ เออาร์เอ ซึ่งมีเออาร์เอประมาณ 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตาเป็นดีเอชเอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนถึง 3 ขวบปีแรก
ในช่วงที่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์จะได้ รับดีเอชเอ ผ่านสายรกโดยตรง เพราะน้ำย่อยไขมันของทารกยังไม่เพียงพอในการสังเคราะห์กรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ได้เต็มที่ จึงยังไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นให้เป็น ดีเอชเอ ได้ และเด็กจะสะสมดีเอชเอและเออาร์เอไว้ในสมองมากเป็นพิเศษในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด เนื่องจากในช่วงนี้อัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจะได้รับจากการกินนมแม่หลังคลอด จะเห็นได้ว่าเด็กได้รับดีเอชเอ และเออาร์เอ จากน้ำมันปลาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ที่แม่ทานเข้าไปจนถึงหลังคลอดจากน้ำนมแม่[ads2]
advertisement
แม่ท้องสามารถทานน้ำมันปลา (ที่มีองค์ประกอบเป็น Omega 3) ได้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ หรือตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกของแม่ท้องได้ เมื่ออายุครรภ์ 5-6 เดือนขึ้นไป ควรงดทานน้ำมันปลา เพราะจะทําให้เกล็ดเลือดจับตัวกันลดลง ซึ่งแม้จะเป็นผลดีที่ช่วยลดการอุดตันในหลอดเลือด แต่อาจทําให้เลือดแข็งตัวช้าเมื่อเกิดบาดแผลหรือการผ่าตัด และอาจทำให้ปากมดลูกเปิดในบางกรณี
ข้อควรระวัง ในการรับประทานอาหารที่มี DHA
– เด็กอายุ 1-12 ปี ควรรับประทานไม่เกิน 20 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
– คุณแม่ตั้งครรภ์ เริ่มตั้งแต่อายุครรภ์ 25-35 สัปดาห์ สตรีให้นมบุตร ควรรับประทาน 1,000-1,500 มก.
– ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อสมองเสื่อมและภาวะซึมเศร้า ผู้สูงอายุ ควรรับประทาน 1,000-3,000 มก.
advertisement
– รับประทานเพื่อบำรุงสายตาควรรับประทาน 500-1,000 มก.
– อาการข้างเคียงได้แก่คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เรอบ่อย ตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอลอาจสูง มีกลิ่นตัวคล้ายกลิ่นปลา หากแพ้มากอาจมีผื่นคัน ควรพบแพทย์ทันที
– ควรระวังสำหรับผู้ที่เลือดแข็งตัวช้า หรือผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือแอสไพริน ผู้ที่อยู่ในช่วยเตรียมผ่าตัดหรือก่อนคลอดบุตร 1-2 เดือน
ข้อควรคำนึง
– การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ อย่างถูกต้องและปลอดภัยนั้น ควรรับประทานเป็นช่วงระยะโดยให้มีช่วงระยะพัก เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาทำลายสาร หรือแร่ธาตุจากผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่ทานเข้าไปออกให้หมดจากร่างกาย (wash out period) เป็นการป้องกันการสะสมในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ทานติดต่อกัน 1-2 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ เป็นต้น
– คุณแม่ท้องไม่ควรกินน้ำมันปลาชนิดเม็ดหรือแคปซูลมากเกินไป เพราะอาจเกิดการสะสมในร่างกายตามอวัยวะต่างๆ จนอาจจะก่ออันตรายได้ และหากบริโภคเกินความต้องการ อาจก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ได้[ads3]
advertisement
“น้ำมันปลา” นับว่าสำคัญต่อแม่ตั้งครรภ์มากๆ เลยนะคะ คุณแม่จึงควรทานดีเอชเอ และเออาร์เอ (สารอาหารที่มีในน้ำมันปลา) อย่างเพียงพอประมาณวันละ 200-300 มก. โดยสามารถหาได้ในอาหารต่างๆ พบได้มากในปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลากะพงแดง
และยังพบได้ในกุ้งและปูทะเลด้วย และยังมีในถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วอัลมอลต์ เมล็ดฟักทอง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมน้ำมันปลาต่างๆ มากมาย เป็นอีกทางเลือก หากพิจารณาแล้วว่าแม่ได้รับน้ำมันปลาจากอาหารได้ไม่เพียงพอ และต้องการทานอาหารเสริม ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com