บอย สินเจริญ ประกาศขายบ้าน ขายรถ ลั่นไม่คิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้
advertisement
เรียกได้ว่าเดือดร้อนกันไปทั่วทุกอาชีพจริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะล่าสุดนักร้องชื่อดังอย่าง บอย สินเจริญ น้องเล็กของวงสินเจริญบาร์เธอร์ส ได้ออกมาไลฟ์สดขายบ้านที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและตั้งใจจะเก็บไว้ให้ลูก และได้ออกมาเปิดใจว่า “ในภาวะที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ คนที่ลำบากไม่มีแม้แต่อะไรจะขายเลย ไม่มีเงินสักบาทมีเยอะแยะ เคสพี่บอยถือว่าเป็นเคสเล็กๆ ที่ยังพอที่จะมีทางไปได้ แต่ว่าพอดีว่าเราอยู่ในวงการบันเทิงเสียงของเราหรือเรื่องราวของเรามันอาจจะไปแทนได้หลายคนที่ได้รับผลกระทบเช่นกันอยู่”
advertisement
“โดยเฉพาะนักดนตรีนักร้องศิลปินต่างๆ ที่ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและดิ้นรนเอาตัวรอดกันกระทบมากกระทบน้อยว่ากันไป ในส่วนตัวของพี่บอยเอง สินเจริญเป็นวงดนตรีที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย ตัวพี่บอยเองเล่นดนตรีมาทั้งชีวิตไม่ได้มีเงินหรือทรัพย์สินที่มากมายนัก ที่ผ่านมาพี่บอยมีแค่บ้านสินเจริญหลังนี้ที่พี่บอยอยู่”
“บ้านสินเจริญเป็นบ้านที่บอย เบิ้ล บอม ร่วมกันซื้ออยู่ด้วยกัน บอม เบิ้ล บอย และคุณพ่อคุณแม่ ส่วนตัวเองพอมีลูกเก็บเงินได้ก็เลยไปซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ตรงสุวรรณภูมิ เป็นหลังที่ประกาศขายอยู่ตอนนี้ เมื่อซื้อบ้านหลังนี้ไว้ความตั้งใจของเราก็คืออยากที่จะมีทรัพย์สินเก็บไว้ให้เขา”
“แต่พอเกิดสถานการณ์ตรงนี้ขึ้นเราก็ต้องมาชั่งน้ำหนักดูว่าหนึ่งงานของเราหายหมด เพราะห้ามแสดงดนตรี ห้ามจัดงานต่างๆ สองดูจากข้างหน้ากันแล้วเที่ยวนี้น่าจะกลับมาได้ยาก และการกลับมาครั้งนี้มันจะคล่องตัวแค่ไหน ผมลองวิเคราะห์ดูคิดว่าถ้าอย่างนั้นตัดสินใจปลดภาระดีกว่า ผมเชื่อว่าหลายหลายคนคงจะทำเช่นเดียวกัน อันดับแรกปลดภาระก่อน ต่อไปจะเดินหน้าอย่างไรค่อยว่ากัน”
advertisement
วินาทีที่ตัดใจอีกขายทรัพย์สินที่เราตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกมีน้ำตาตกในบ้างไหม? “น้ำตาตกใน เออ…คำนี้เนอะ ตอนที่ตัดสินใจก็คิดอยู่นานเพราะว่าบอกกับลูกเอาไว้แล้วก็กลับไปบอกลูกใหม่ว่าบ้านหลังนี้เนี่ยตอนนี้พ่อขอตัดสินใจขายนะ ตอนแรกเขาก็ไม่ยอม ด้วยความที่เขาเป็นเด็ก พ่อบอกว่าจะเก็บไว้ให้น้องสิล”
“น้องสิลชอบบ้านหลังนี้เพราะอยู่มาตั้งแต่เกิด เขามีความทรงจำกับบ้านหลังนี้ จนถึงวัยที่เขาเข้าโรงเรียนถึงย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านสินเจริญเพราะโรงเรียนอยู่แถวนี้ บ้านหลังนั้นผมก็ให้คนมาเช่าซึ่งคนที่เช่าก็เป็นคนต่างชาติอยู่ตัวคนเดียว ดูแลบ้านดีมาก แต่ด้วยพิษโควิดเหมือนกัน เขาไปต่อไม่ไหว ผมก็ไม่เป็นไรเราก็ดูแลกัน เขาก็ย้ายออก”
advertisement
“พอเขาย้ายออกไปแล้วสิ่งเดียวที่ผมคิดเลยคราวนี้เราต้องผ่อนบ้านหลังนี้เองแล้ว ไม่มีค่าเช่ามาช่วยแล้ว ตอนนี้ภาระเรามีอะไรบ้างเรามีภาระอีกสองอย่างบ้านกับรถของนอกกายทั้งนั้นเลย ปล่อยไปก่อน เอาชีวิตลูกที่ลูกจะได้เรียนต่อได้ดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องกังวลอะไร คุณแม่ที่เรายังต้องดูแลอยู่ เอาตรงนี้ไว้ก่อน” [ads]
“ดังนั้นตัดสินใจแล้วและพูดกับเขาตรงๆ ว่าน้องสิลเห็นมั้ยพ่อไม่ได้ออกไปทำงาน ไม่ได้ออกไปร้องเพลงเลย แล้วพ่อก็ไม่มีเงินเข้ามาเลย ทุกวันนี้มีแต่จ่ายเงินออกโดยใช้เงินเก็บ ฉะนั้นแล้วเราขายบ้านหลังนี้กัน ถ้าโชคดีมีคนเขาถูกใจ เงินที่ได้มาพ่อจะเอามาเก็บไว้ให้ลูก แล้วส่วนหนึ่งพ่อก็จะเอาให้คุณย่าก็คือแม่ของพี่ เพื่อแม่จะได้เอาไปจัดสรรค่าใช้จ่ายโดยรวมในบ้าน”
advertisement
สรุปขายอะไรไปบ้าง? “ขายรถไปแล้วเรียบร้อย มีรถคันเดียวนี่แหละ แต่รถที่ขายไปไม่ได้เงินอะไรกลับมาเพราะคนที่รับไปเขาไปผ่อนต่อ พี่บอยปลดภาระแค่นั้นเอง ปลดไปหนึ่งอย่างแล้ว คราวนี้ก็เหลือบ้านหลังนี้แหละ ถ้าเกิดว่าบ้านหลังนี้ได้เงินมาสักก้อนหนึ่ง เงินนั้นจะมาจุนเจืออยู่ภายในครอบครัว สำคัญที่สุดคือลูก พี่บอยจะได้มั่นใจว่าจะได้ดูแลเขาต่อไปโดยไม่ต้องกังวล”
advertisement
“แต่ก่อนหน้าที่จะขายรถกลับบ้านก็ลองทุกอย่างแล้วเหมือนกับทุกคน ขายเสื้อผ้าตัวเองมือสองผ่านไลฟ์ ขายของใช้ตัวเอง จนถึงขั้นที่ลูกเดินมาบอกว่า…พ่อเอาของเล่นสิลไปขายสิ แล้วลูกก็ไปคุ้ยของเล่นที่เขาไม่ใช้แล้วมาให้”
ยังไม่ได้หนักหนาถึงขั้นต้องขายเครื่องดนตรีซึ่งเป็นของรักมากๆ ใช่ไหม? “เอาคำถามยอดเยี่ยมประจำปีไปเลย ขนลุกเลยนะ…เพราะว่าเพื่อนๆ น้องๆ นักดนตรีของเราหลายคนตกอยู่ในภาวะนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของนักดนตรีคืออุปกรณ์ดนตรีตัวเอง”
“แต่วันนี้เขาต้องจำใจเอามันใส่กล่อง แล้วก็ไปโพสต์บอกขาย พี่บอยต้องขอบอกเลยนะว่าเจ็บปวดเลยแหละ หลายคนต้องจำใจขายอาวุธตัวเอง จำใจไปจำนำ เพื่อจะได้เงินสักก้อนหนึ่งเอามาเลี้ยงชีวิตซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงได้กี่วันกี่เดือน ในส่วนของพี่บอยเองยังไม่ได้ถึงจุดนั้น”
advertisement
ยืนยันยังไงก็ไม่ขายเครื่องดนตรี? “เครื่องดนตรียังไงก็ไม่ขาย พี่คิดว่าพี่จะไม่ขายเครื่องดนตรี ถ้าถามว่า…แล้วถ้ามันยังไม่กลับมาในเร็ววันนี้ล่ะจะทำยังไง พี่บอยขอบอกตรงๆ เลยนะว่าไม่รู้ ถ้าถึงเวลาที่มันจนตรอก ถึงเวลาที่มันจะต้องหาทางออก ยังไงมันก็ต้องไปได้”
นี่คือวิกฤตหนักที่สุดในชีวิตเลยไหม? “โชคดีตรงที่พี่บอยเป็นคนไม่ซื้อของเยอะ มีหนี้อยู่แค่สองอย่างคือรถกับบ้าน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรายได้ของวงสินเจริญซึ่งเป็นวงเล็กๆ ไม่ได้เป็นรายได้ที่มหาศาล พี่บอยเล่นดนตรีต่องานนึงค่าตัวไม่ถึงแสน เงินที่ได้มามันถูกแชร์ไปหลายส่วน”
“เพราะฉะนั้นเงินเก็บของเราไม่ได้มีจำนวนมาก เมื่อมันเกิดวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นแล้วจำที่จะต้องเอาเงินเก็บที่มีจำนวนไม่มากมาใช้อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะต้องมาถึงจุดที่เราจะต้องประกาศขายรถขายบ้าน ถ้าถามว่าครั้งนี้วิกฤตสุดหรือเปล่า คิดว่าครั้งนี้ที่สุดแล้ว เพราะเราก็ต้องยอมปล่อยสิ่งที่เราตั้งใจจะเก็บเอาไว้ออกไป”
advertisement
รู้สึกยังไงที่อาชีพนักดนตรีได้รับผลกระทบแรกๆ ก่อนเพื่อน และมักจะถูกนึกถึงทีหลังทุกครั้ง? “อันนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่เราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อมันเกิดแบบนี้ขึ้นมากิจกรรมอะไรที่มันต้องรวมตัวกันมันก็เป็นความเสี่ยง แต่ในความคิดส่วนตัวพี่บอย ใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วยยังไงก็แล้วแต่ถือว่าเคารพทุกคน”
“ความคิดของพี่บอยตั้งแต่แรกที่มีโควิดมาคิดว่าโควิดมันเกิดขึ้นมาแล้วมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วการงด การล็อก การอะไรต่างๆ เนี่ยมันคือปลายเหตุ ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้เลย งดการแสดงก็ไปติดคนงานอยู่ดี งดคนงานก็ไปติดส่วนอื่นอยู่ดี เพราะโรคนี้มันอยู่บนโลกนี้แล้ว”
“สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะมีชีวิตต่อไปกับมันไปจนเราตาย นั่นก็คือการที่เราจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนทั้งโลก เราทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามปกติโดยที่ทำตามมาตรการที่คิดว่าเซฟที่สุด เชื่อว่าถ้าเกิดประเทศของเรามีการวางแผนและรับมือตั้งแต่ต้นด้วยความจริงใจ เราจะมีสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่สถานการณ์จะไม่มีเลยนะครับ แต่หมายความว่าสถานการณ์จะดีกว่านี้”
“เราจะผ่านไปได้และเราจะกลับมามีชีวิตของเราได้อีกครั้งหนึ่งด้วยตัวของพวกเราเอง ด้วยความร่วมมือหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเราเอง นักดนตรีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ได้รับผลกระทบและลำบากอยู่ตอนนี้ อย่าไปน้อยใจ เสียใจที่พวกเราถูกงดก่อนเลยเป็นอันแรก แล้วก็จะถูกกลับมาเป็นคนสุดท้ายเสมอ ถือว่าเราเสีลสละให้สังคมและส่วนรวม วันนึงเราจะได้จับอาวุธประจำตัวของเรา กลับมาสร้างความสุขให้กับผู้คนได้เต็มที่อีกครั้ง”
ขอขอบคุณที่มาจาก : khaosod.co.th