สาวถึงกับเข่าอ่อน!! ทิ้งแฟนให้รักษาตัวที่โรงพยาบาลคนเดียว สุดท้ายเกิดเรื่องที่ต้องเจ็บเกินรับได้!?

advertisement
แน่นอนว่าเวลาเราป่วยหรือไม่สบายเรามักจะต้องการคนดูแลเราให้ กำลังใจเราได้ แต่บางทีถ้าเราติดธุระ ติดงาน จนไม่สามารถที่จะไปดูแลได้เราก็ต้องพูดอธิบายเหตุผลให้เข้าใจ ซึ่งเรื่องราวของคุณ สมาชิกหมายเลข 3739958 ได้ออกมาเล่าถึงประสบการณ์ตัวเองโดยระบุว่า..
อย่าปล่อยแฟนไว้ตามลำพังตอนป่วย แชร์ประสบการณ์สุดเจ็บปวด
ยืมไอดีเพื่อนมาพิมพ์ประสบการณ์เพราะไม่เคยสมัครพันทิป
วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ ชีช้ำกะหล่ำปลี ซึ่งแน่นอนมนุษย์ทุกคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกคนถ้ายังอยากมีความรักการพบและเลิกกันมันธรรมดา แต่อยากเอาเรื่องตัวเองมาเป็นอุธาหรณ์สำหรับใครบางครั้งหลงปล่อยแฟนไว้ตอนป่วยไว้ลำพังแบบเรา
เรื่องของเรามีอยู่ว่า เรามีแฟนคบกันมา 8 ปี คบกันมาจนถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานกันในปีหน้า สร้างเรือนหอรอไว้แล้วแถวชาญเมืองของ กทม. ในช่วงที่คบกันมาทุกอย่างราบรื่น เราเป็นคู่ที่ไม่เคยทะเลาะกัน หรือแม้แต่ใช้คำหยาบคายต่อกันเลย แฟนเราเป็นสุภาพบุรุษมาก ทุกวันจะรีดผ้า ทำกับข้าวให้เรา ก่อนไปทำงาน แม้ว่าปัจจุบันเค้าเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายในบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่แล้วทุกๆอย่างของการเปลี่ยนไปก็เริ่มขึ้น
advertisement

แฟนเราเล่นกีฬาหนักเกินไปจนทำให้เกิดอาการเอ็นร้อยหวายฉีกขาด จนต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมันประจวบเหมาะกับตอนที่เราพึ่งจะย้ายงาน มาทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่ใกล้กับบ้านแฟนพอดี(ตอนก่อนๆแยกกันอยู่เพราะที่ทำงานเราไกล เลยเปลี่ยนงานเพราะอยากอยู่ใกล้กันมากขึ้น) การผ่าตัดในครั้งนี้ทำให้แฟนเราต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ด้วยเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐเลยมีกฏที่ว่าถ้าจะต้องนอนโรงพยาบาลแล้วอยู่ห้องพิเศษต้องมีญาติมาเฝ้า 24 ชม. ยกเว้นในกรณีอยู่อาคารผู้ป่วยรวม ด้วยความที่เราไม่อยากให้แฟนลำบากและอยู่ห้องผู้ป่วยรวมเพราะอยากให้เค้ามีที่ส่วนตัว เลยตัดสินใจให้เค้าอยู่ห้องพิเศษแม้ว่าตนเองจะไม่รู้ว่าจะมาเฝ้าได้หรือไม่ก็ตาม ผนวกกับตอนนั้นพยายามจ้างพยาบาลให้มาเฝ้าปรากฏว่าไม่มีพยาบาลคนใดในโรงพยาบาลว่างเลย (คาดว่าน่าจะยุ่งๆกันหมดเพราะคนไข้เยอะ) แถมพ่อแม่แฟนเราเค้าอยู่ที่ต่างประเทศและแก่มากเลยจะมาเยี่ยมก็ลำบาก บวกกับเราพึ่งเริ่มงานจะลางานยาว 5-6วันก็ไม่ได้เพราะรู้สึกเกรงใจที่ทำงาน เลยตัดสินใจจ้างเพื่อนคนนึงซึ่งเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมด [ads]
เรามีเพื่อนคนหนึ่งขอใช้ชื่อย่อว่า บี ละกัน บีเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม บีเป็นคนสวย ตัวเล็ก สเป็คใครหลายๆคนชอบ แต่เพราะบีซึ่งเป็นเพื่อนเราติดผู้ชายในช่วงที่สมัยเรียนกับเราเลยทำให้เธอเรียนไม่จบ และปัจจุบันทำงานในผับแห่งหนึ่งใน กทม.มีเสี่ยเลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยความที่บีทำงานกลางคืนเลยทำให้กลางวันซึ่งเป็นช่วงที่เราทำงานสามารถมาช่วยมาดูแฟนเราได้ และบีก็คุยเฟสกับเราบอกว่ายินดีที่จะช่วยเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้หวังของฟรีอะไรขนาดนั้นเลยบอกไปว่าจะจ่ายเป็นค่าจ้างที่ใจดีมาเฝ้าให้ก็ได้วันละ 500 บาท บีก็บอกว่าไม่เป็นไรเพื่อนกันช่วยกันได้ ซึ่งบีสามารถเฝ้าไข้ให้ได้ตอน 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็นเพราะหลังจากนั้นต้องเข้าไปทำงานกลางคืนที่ผับซึ่งไม่ใช่ปัญหาเพราะเราสามารถมาเฝ้าไข้แฟนเราต่อได้และเราก็นอนที่โรงพยาบาลเพราะต้องเฝ้าไข้แฟนเราอยู่แล้ว พอเรารู้ว่ามีคนเฝ้าไข้แฟนเราแค่นั้นล่ะคะเราก็ใจชื้นขึ้น และพร้อมจะไปทำงานค่ะ
จนกระทั่งวันแรกของการที่เพื่อนเราเฝ้าผ่านไปทุกอย่างปกติ เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 4 โมงกว่า เห็นเพื่อนเราพูดคุยกับแฟนเราที่นอนติดเตียงอยู่อย่างเฮฮา เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเห็นว่าแฟนเรายิ้มได้ก็แสดงว่าอาการโอเค หลังจากนั้นเราก็ดูแลแฟนเราตอนกลางคืน ป้อนข้าว นวดขาให้ เช็ดตัวให้ จนประมาณ ตี1 เราค่อยตื่นขึ้นมาดูว่าแฟนเรายังปวดแผลผ่าตัดมั้ย ถ้าปวดจะได้เรียกพยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดให้ แน่นอนการที่มีแฟนป่วยเราไม่สามารถหลับเต็มตาได้เพราะเค้าจะปวดเรื่อยๆ เพราะเรารักและห่วงเค้ามาก
วันที่ 2 ต่อมา บีซึ่งเป็นเพื่อนเรามาโรงพยาบาลเร็วมาก ปกติเราบอกให้เค้ามา 8โมงเช้า แต่เค้ามาตอน 6โมงครึ่ง ซึ่งเป็นตอนที่เรายังไม่ออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปทำงานตอนเช้าด้วยซ้ำ เค้าบอกว่าอยากดูแลแฟนเราเป็นห่วง เราก็แอบดีใจว่าเออหายห่วงไปอีกหนึ่งอย่าง จะได้ทำงานอย่างสบายใจ จนกระทั่งเรามาถึงโรงพยาบาลประมาณ 4 โมงเย็น หลังเคลียร์งานเสร็จ ก็เห็นเพื่อนเรากำลังป้อนข้าวแฟนเราอยู่ แต่เรายังไม่ได้เข้าไปข้างในทันที ยืนมองผ่านทางช่องประตูหน้าห้องผู้ป่วย สายตาที่แฟนเรามองบีไม่ใช่การมองแบบธรรมดา ส่วนบีก็ดูป้อนข้าวไปแล้วยิ้มกลุ้มกริ่ม เราเห็นสักพักเลยเข้าไป บีก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อย ก่อนที่บีจะบอกเราว่า “แฟนเธอนี่เก่งนะผ่าตัดแบบนี้ยังกินข้าวได้ตั้งเยอะ ท่าทางกินข้าวอร่อยมาก” เราไม่ได้ตอบอะไรกับบี แต่หันไปถามแฟนเราว่า “เจ็บแผลมั้ยคะ? “ แฟนเราก็บอกว่า “เจ็บสิถามได้ !” ซึ่งเป็นการตอบแบบตะเบ็งเสียง เราถึงกับอึ้งเพราะปกติแฟนเราเค้าจะไปเคยตะเบ็งเสียงใส่เราอย่างนี้
วันที่ 3 ต่อมาก็เหมือนเดิมเพือนเรามาเฝ้าไข้ให้แฟนเรา แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปคือพอหลังจากที่เพื่อนเรากลับช่วงประมาณ 4 โมงเย็น และแฟนเราอยู่กับเรา แฟนเราเหมือนนิ่งเงียบและไม่ค่อยสดใส ไม่พูดคุยอะไรกับเรามากมาย บอกแต่เหนื่อย ปวดแผลอยากนอนพัก ซึ่งแตกต่างจากตอนที่เพื่อนเรามาเฝ้า มีความเฮฮา แม้ว่าจะนอนติดเตียง จนกระทั่ง พยาบาลเข้ามาฉีดยาแก้ปวดให้แฟนเรา เค้าเลยคุยกับแฟนเราว่า “อ้าวแฟนกลับไปแล้วเหรอคะ“ เราก็เอ็ดไปแล้วบอกกับพยาบาลว่า “หนูนี่ล่ะคะแฟนของคนไข้” พยาบาลก็มองหน้าเราแปลกๆเหมือนมีอะไรอยากจะบอกเราแต่ไม่พูดอะไรแล้วเดินออกไป
จนกระทั่งวันที่ 4 หมอเข้ามาถามแฟนเราว่า อาการเจ็บแผลผ่าตัดดีขึ้นรึยัง ถ้าไม่เจ็บและสามารถเดินได้นิดหน่อยแล้ว สามารถกลับบ้านได้ แฟนเราก็เหมือนอิดออด แล้วบอกว่าขออยู่โรงพยาบาลต่อสัก 2-3 วันได้มั้ย ซึ่งปกติแล้วการผ่าตัดของแฟนเราเป็นการผ่าตัดเล็กพักฟื้นแค่ 4 วันก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่แฟนเราก็ทำเหมือนบอกว่าปวดแผลอยู่ ทั้งๆที่พอลับหลังหมอก็เหมือนแทบจะปกติ พูดตลกโปกฮาได้ อาการค่อนข้างจะดูปกติ เราเลยคิดว่าแฟนเราอยากเจอบีรึเปล่า (ต่อมสงสัยเริ่มทำงาน) จนเราตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลมโดยการโทรไปหาเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งให้เค้าช่วยหาพยาบาลช่วยมาเฝ้าไข้แฟนเราให้หน่อย ปรากฏว่าเพื่อนเราหาให้ได้มีพยาบาลคนนึงว่างพอดี เราตัดสินใจจ้างพยาบาลมาเฝ้าไข้แฟนเรา คืนละ 1,500 บาท แล้วไลน์ไปบอกบีว่าไม่ต้องมาเฝ้าแฟนเราแล้วนะ เพราะว่าจ้างพยาบาลได้แล้ว บีก็อ่านข้อความแล้วตอบเราช้ามาก แล้วตอบแค่คำว่า อืม ก็แค่นั้น
หลังจากวันที่เราจ้างพยาบาลได้แล้ว เรากลับมาเฝ้าแฟนเราหลังเลิกงาน เราสังเกตเค้าดูอาการโรยๆไม่สดใส แม้ว่าพยาบาลแทบจะดูแลให้ทุกอย่าง จนกระทั่งวันต่อมาเราไปทำงานตอนเช้าแล้วแกล้งทำในออฟฟิสทำทีเป็นปวดหัวมากและมีไข้เลยขอลาผู้จัดการไปพักผ่อนที่บ้านซึ่งหัวหน้าอนุญาตเพราะกระทันหัน พอลาได้แล้วเราก็ขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะไปดูอาการแฟนเรา(แฟนเรายังไม่รู้ว่าเราจะมาคิดว่าอยู่ที่ทำงาน)
เราไปถึงห้องผู้ป่วยพิเศษของแฟนเรา แล้วส่องไปที่ช่องประตู ปรากฏว่าเราเจอบีมาที่ห้องผู้ป่วยของแฟนเราและกำลังจับมือแฟนเราที่นอนอยู่บนเตียง กุมมือกันอย่างแนบแน่น แล้วก็หอมแก้มกันแบบไม่เกรงใจพยาบาลที่เราจ้างมาเฝ้าไข้แฟนเราด้วยซ้ำ ในนาทีนั้นความรู้สึกเราชาไปหมด ภาพความรู้สึกที่รักกันมา 8 ปี แตกสลายลงไปในวันนั้น น้ำตาอื่ออยู่ภายใน
เราเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นแฟนเราก็ทำหน้าแบบตื่นตกใจ แต่บีดูจะเฉยๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเราเห็นว่าบีกำลังสวีทกับแฟนเรา เราบอกแฟนว่าเห็นหมดแล้วนะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แฟนเราดูตกใจแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร แล้วแฟนเราก็บอกเราว่า “ บีเค้ามาดูแล ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก” เรานี่ยิ่งโมโหเลยเพราะรู้เค้าแถไปเรื่อย เราน้ำตาซึมแล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย รู้สึกเสียใจกับการกระทำของแฟนเรา ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่มีเวลาดูแลแฟนเลยปล่อยให้คนอื่นมาดูแลแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอ?
advertisement

เราแอบเข้าไปดูเฟสบุ๊คของบี ซึ่งดูไม่มีอะไร เค้าก็ลงรูปทำงานในผับ เที่ยวปาร์ตี้ สักลายเพิ่มตามตัว ตามประสาที่เราเคยเห็นเค้าปกติ แต่พอเราเอาเฟสบุ๊คของเพื่อนอีกคนนึงไปส่องดูปรากฏว่าบีบล๊อคโพสกับเรา พูดง่ายๆทุกคนเห็นโพสหมดยกเว้นเรา ซึ่งโพสที่เค้าซ่อนกับเรานั้นเป็นภาพที่เค้าถ่ายรูปแฟนเราที่อยูโรงพยาบาล ภาพจับมือ หรือแม้กระทั่งที่พีคสุดคือ ภาพแฟนเราใช้ I Banking โอนเงินไปให้บีประมาณ 2 หมื่นเพื่อไปซื้อกระเป๋าไปใหม่ พร้อมกับแคปชั่นที่บีโพสว่า การดูแลกันในลำบากคือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงิน เล่นทำเอาเรามือสั่นไปหมด รู้สึกแบบ 8 ปีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่มีค่าอะไรเลย กับคนที่มาทำดีตอนป่วยแค่7 วัน อะไรมันเว่อร์ได้ขนาดนั้น [ads]
เราตัดสินใจไม่โทรหาแฟนเรา ทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งห่วง เพราะเค้ายังไม่สามารถเดินได้ ซึ่งแน่นอนแฟนเราเค้าก็ไม่ได้โทรกลับมาหาเรา แม้ว่าตอนนอนโรงพยาบาลจะนั่งเล่นมือถือทั้งๆที่ตัวติดเตียงทั้งวัน จนกระทั่งเราไลน์ไปถามเค้าว่าอาการดีขึ้นมั้ย? เค้าเลยพิมพ์ตอบกลับมาว่า ดีขึ้นแล้วแต่ยังเดินไม่ได้ทันที และอยากจะไปพักฟื้นอยู่กับอาม่าที่สระบุรี เพราะที่นั่นอากาศดี พอเราได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจและคิดว่าไม่เป็นไร ลองให้เค้าหายดีก่อนแล้วค่อยมาปรับความเข้าใจกัน เรื่องอะไรที่แล้วๆมาก็ให้มันจบไป เพราะปีหน้าจะแต่งงานกันแล้ว พยายามจะลืมทุกอย่างและขอให้เราสองคนอภัยให้กันและกัน
จนกระทั่งเราตัดสินใจใช้เฟสบุ๊คเพื่อนเราไปส่องเฟสบีอีกครั้ง ปรากฏสิ่งที่แฟนเราบอกว่าจะไปอยู่กับอาม่าคือการโกหก เพราะแท้ที่จริงแล้ว แฟนเราแอบไปอยู่กับบีที่เรือนหอเราที่สร้างไว้ ด้วยความที่ไม่มีเวลาไปดูเพราะเราอยู่แต่คอนโดแล้วทำงานหามรุ่มหามค่ำ บีได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนหอเราเรียบร้อย แถมมีการโพสภาพแฟนเรากินข้าวกับครอบครัวของบี ซึ่งแม่ของบีก็เล่นเฟสบุ๊คพร้อมโพสภาพบ้านเราและแคปชั่นที่ว่า “บ้านว่าที่ลูกเขยเราบ้านจะหลังใหญ่หน่อยๆ” แถมมีเพื่อนมาเม้นใต้ภาพเช่น ได้ลูกเขยรวยจังนังบีวาสนาดีนะ , บ้านสวยเหมาะแก่การตั้งวงเล่นไพ่เป็นอย่างยิ่ง เป็นต้น
ตอนนี้เราร้องไห้จนจะขาดใจแล้วค่ะ ไม่รู้จะเอายังไงต่อใจนึงก็เสียดายเวลา 8 ปีที่คบกัน แถมเสียดายเวลาที่คบกันมา แต่เราไม่รู้จะเอายังไงต่อ จะปล่อยเค้าไปดีมั้ย อะไรทำให้เค้าเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือเพราะเราไม่มีเวลาดูแลเค้าในโรงพยาบาลทั้งวันเลยทำให้เค้าเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ตอนนี้เสียใจมากค่ะ อยากให้เค้ากลับมา กลับมาเป็นคนเดิมที่รักเราได้มั้ย? ขอร้องล่ะ เราไม่ไหวจริงๆ
ขอขอบคุณที่มาจาก : สมาชิกหมายเลข 3739958