หมอแล็บแพนด้า เผยวิธีการป้องกันตัวเอง จากเชื้อไวรัสโคโรน่า

       ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสอู่ฮั่น ซึ่งได้ระบาดไปทั่วโลกและมีอัตราการเสียชีวิตสูงเบื้องต้นทุกคนสามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ด้วยตัวเอง

       ล่าสุดนักเทคนิคการแพทย์ ภาคภูมิ เดชหัสดิน หรือ หมอแล็บแพนด้า เผยวิธีการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโคโรน่าผ่านเพจเฟซบุ๊กเล่าว่า…ช่วงนี้วิธีการป้องกันตัวเองไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดอยู่ วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าเราจะมีวิธีการป้องกันตัวเองยังไง แล้วเวลาผู้ติดเชื้อไอหรือจามจะเกิดอะไรขึ้น

การไอ จาม ฮัดเช้ยยย! จะทำให้มีละอองขนาดใหญ่ ฟุ้งกระจายในระยะประมาณ 3 ฟุตหรือประมาณ 1 เมตรไวรัสอู่ฮั่นก็จะไกลประมาณนี้ล่ะครับ ซึ่งเชื้อโรคจะอยู่ในละอองน้ำแล้วก็หล่นลงพื้นแต่ๆๆๆ ถ้าเกิดมีใครไปอยู่ใกล้ๆคนไอหรือจาม แล้วหายใจปรื๊ดดดด เข้าไป หรือละอองไปเข้าทางเยื่อบุตา จมูก หรือในเยื่อบุปาก ในปริมาณที่มากพอ และภูมิคุ้มกันกำจัดเชื้อโรคไม่ได้ คนๆนั้นก็จะติดเชื้อไวรัสและเจ็บป่วยได้

โชคดีมากเลยที่ละอองน้ำมีขนาดใหญ่มาก ประมาณ 5 ไมครอน เพราะฉะนั้นหน้ากากอนามัยธรรมดาๆจึงเอาอยู่ อ้าว! แล้วถ้าเดินสวนกัน ยักคิ้วให้กัน จะติดเชื้อมั้ย ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว อันนี้โอกาสติดน้อยมากครับ แต่ถ้ามีการพูดคุยกับผู้ป่วยแบบใกล้ๆจนน้ำลายแตกฟองกระเด็น อันนี้ไม่แน่นะ อาจติดกันได้

ตะนี้ทำไมเราต้องล้างมือ ก็เพราะว่า..มือเราเผลอไปสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ ตามลูกบิดประตู สิ่งของ เครื่องใช้ สารคัดหลั่งก็ได้แก่ น้ำลาย เสมหะ น้ำมูก แล้วเชื้อก็ติดมือเรามา
คำว่า “สัมผัส” ไม่ใช่เราไปแตะตัวผู้ป่วยแล้วเชื้อโรคจะไหลเข้าตัวเรานะ เชื้อโรคนะ! ไม่ใช่ผีสิง 

แต่มันเข้าทาง เยื่อบุจมูก เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา เพราะเราเอามือเปื้อนเชื้อนี่แหละ เผลอไปจับตา แคะขี้มูก จกปาก บางคนตกใจว่าเชื้อเข้าทางตาได้ด้วยเหรอ ??? เข้าได้สิครับ มันท่อเดียวกัน เคยร้องไห้แล้วเค็มในปากมั้ย หรือใครเคยใช้ยาหยอดตาแล้วขมในปากมั้ย นั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นก็ล้างมือให้สะอาด อย่าเอามือไปจกหน้าจกตา

แค่นี้เราก็จะปลอดภัยจากไวรัสอู่ฮั่น หรือไวรัสโตโยต้า โคโรน่า อัลติ๊สสายพันธุ์ใหม่แล้วล่ะครับ

       อย่างไรก็ตามอย่าลืมหมั่นล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ เพราะมือเราเผลอไปสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ ตามลูกบิดประตู สิ่งของต่างๆ เผลอไปจับตา แคะขี้มูก และนี้คือสาเหตุของการติดเชื่อนั่นเอง

เรียบเรียงโดย : kaijeaw.com ขอขอบคุณที่มา : หมอแล็บแพนด้า