สธ. ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกทั้ง 2 ชนิด ประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไม่แตกต่างกัน
advertisement
กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (เอชพีวี) ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ และ 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกไม่แตกต่างกัน หลายประเทศบรรจุไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค
advertisement
มะเร็งปากมดลูก[ads]
advertisement
วันนี้ (30มีนาคม 2561) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม (GPO) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินการร่วมกันในการจัดหาวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือวัคซีนเอชพีวี เพื่อลดการเสียชีวิตของสตรีไทยจากมะเร็งปากมดลูก ขณะนี้ มีบริษัทมายื่นเสนอแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินงานตามขั้นตอนและระเบียบของทางราชการ เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้บรรจุวัคซีนเอชพีวี ทั้งชนิด 2 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก) และ 4 สายพันธุ์ (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก และหูดหงอนไก่) ไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเสรีโดยไม่ผูกขาด เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ที่ต้องการให้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการเสนอราคาของผู้ขายมากกว่า 1 ราย โดยในปีที่ผ่านมา องค์การเภสัชกรรม ได้จัดหาวัคซีนให้กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้พอเพียงเป็นไปตามแผนการดำเนินงานของประเทศ และการจัดซื้อวัคซีนประหยัดงบประมาณได้ 36 ล้านบาท[ads2]
advertisement
นายแพทย์โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับด้านประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งมดลูกนั้น คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ยืนยันว่าวัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เท่ากัน และวัคซีนทั้งสองชนิดนี้ในต่างประเทศก็ยังมีการใช้อยู่ โดยมีประเทศที่ใช้วัคซีนเอชพีวีชนิด 2 สายพันธุ์ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค 29 ประเทศ เช่น สก็อตแลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส สวิสเซอร์แลนด์ อิตาลี สเปน เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และมาเลเซีย เป็นต้น[ads3]
advertisement
ซึ่งประสิทธิภาพของวัคซีนจะช่วยป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้ประมาณร้อยละ 90-100 ในผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข