อ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ..เกิดจากอะไร?
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/ร่างกายอ่อนเพลีย-1-1024x512.jpg)
advertisement
เมื่อคนเราเจ็บป่วย มักจะมีอาการอ่อนเพลียร่วมด้วยเสมอ เมื่อหายป่วยแล้ว อาการอ่อนเพลียนั้นก็จะหายไปกลับเป็นปกติเช่นเคย แต่หลายๆ คนมีอาการอ่อนเพลียอยู่บ่อยครั้ง เป็นแล้วหาย หายแล้วเป็นอีก หรือก็เป็นอาการเรื้อรัง ทั้งที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรเลย มีการตรวจอยู่หลายครั้งก็ยังไม่พบความผิดปกติใดๆ สร้างความกังวลหนักใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ สาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร จะทำอย่างไรให้หายจากอาการเหล่านั้น ใครที่มักมีอาการอ่อนเพลียอยู่บ่อยๆ สาเหตุเกิดจากอะไร จะแก้ปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง ตาม Kaijeaw.com มาดูกันค่ะ
advertisement
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/อ่อนเพลีย-01.jpg)
สำหรับอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าชนิดเรื้อรัง จนกระทั่งว่าไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ พักผ่อนหรือปรับปรุงวิถีชีวิตแล้วก็ยังไม่หาย จัดเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง วินิจฉัยค่อนข้างยาก ทางการแพทย์จะเรียกอาการแบบนี้ว่า โครนิกฟาทีกซินโดรม (chronic fatigue syndrome-CFS) ซึ่งมักจะอ่อนเพลียมานาน ส่วนใหญ่จะมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป และมักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ เจ็บคอ มีไข้ นอนไม่หลับ ซึมเศร้า เป็นต้น
สาเหตุ : ที่แท้จริงนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด อาจเป็นผลมาจากโรคติดเชื้อเรื้อรัง ภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง ขาดฮอร์โมน หรือเกิดจากภาวะความเครียดเรื้อรัง เป็นต้น
แนวทางการรักษา : แพทย์จะพิจารณาให้ใช้ยา โภชนบำบัด และปรับวิถีชีวิตให้สมดุล โดยผู้ป่วยควรจะหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
อาการอ่อนเพลียที่พบอยู่บ่อยๆ นั้น มักจะไม่ใช่เกิดจากโรคหรือความเจ็บป่วย หรือขาดฮอร์โมนที่จำเป็นอะไร
สาเหตุ : ส่วนใหญ่อาจจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกลักษณะ กิจกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ น้อยเกินไป ตรากตรำทำงานหนัก กินอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ความเครียด ภาวะซึมเศร้าต่างๆ เป็นต้น
แนวทางการรักษา : ควรแก้ไขที่สาเหตุ มากกว่าการพึ่งพายาหรือน้ำเกลือเพื่อบำรุงกำลัง
เหนื่อยล้า อ่อนล้า ล้า หรือ อ่อนเพลีย (Fatigue) เป็นอาการ หรือความรู้สึก ไม่ใช่เป็นโรค มักพบเกิดหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน ทำงานหนักต่อเนื่อง และ/หรือมีปัญหาทางอารมณ์/จิตใจ เหนื่อยล้าเป็นอาการพบบ่อยอาการหนึ่ง พบได้ทั้งในเด็ก (มีรายงานพบเกิดได้ในเด็กตั้งแต่อายุ 5 ปี) ไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบได้บ่อยขึ้นเมื่อยิ่งสูงอายุ ผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดอาการนี้ได้ใกล้เคียงกัน
advertisement
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/อ่อนเพลีย1.jpg)
อาการเหนื่อยล้าและสาเหตุ แบ่งเป็น 3 ประเภท
1) อาการเหนื่อยล้าปกติจากการใช้ชีวิตประจำวัน (Physiologic fatigue) ได้แก่ อาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นเป็นปกติกับทุกคน จะมีอาการในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สาเหตุมักเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อดนอน ทำงานหนัก มีปัญหาทางการควบคุมอารมณ์และจิตใจ โดยอาการจะหายไปเองหลังการพักผ่อน หรือผ่านระยะความเครียด/กังวลนั้นไปแล้ว มักมีอาการอยู่ประมาณไม่เกิน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจัดเป็นอาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน
2) อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิ (Secondary fatigue) สาเหตุเกิดจากโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคตับแข็ง โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคออโตอิมมูน/โรคภูมิต้านตนเอง ภาวะซีด ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก หรือจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด (เช่น ยาลดน้ำตาลในเลือด ยาเคมีบำบัดในการรัก ษาโรคมะเร็ง) ซึ่งอาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิจะหายได้ภายหลังการรักษาควบคุมสาเหตุได้แล้ว ทั้งนี้อาการเหนื่อยล้าทุติยภูมิเป็นได้ทั้ง อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน และอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง คือ อาการเหนื่อยล้าที่เกิดจากมีสาเหตุผิดปกติของร่างกาย เช่น จากมี
3) อาการเหนื่อยล้าเฉียบพลัน (Acute fatigue) คือ อาการเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งคือ อาการเหนื่อยล้าตามปกติที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน
advertisement
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/อ่อนเพลีย2.jpg)
แก้ปัญหาอาการอ่อนล้าจากสาเหตุ
1. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ
การที่ร่างกายขาดน้ำมากเกินไป จะทำให้เลือดไหลเวียนช้าลงและมีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นไปได้ที่คุณจะรู้สึกเหนื่อยเพลียเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดกระจายตัวได้ไม่เต็มที่ (ประสิทธิภาพ) หัวใจสูบฉีดเลือดทำงานได้ไม่เต็มร้อยนั่นเอง รวมทั้งความเร็วที่ออกซิเจนและสารอาหารจะเข้าถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะส่วนต่างๆ ก็ลดลงไปด้วย
แนวทางการแก้ไขปัญหา : ควรดื่มน้ำให้มากพอ 8-10 แก้วต่อวัน ไม่เพียงแต่ทำให้เลือดเจือจางและไหลเวียนดีขึ้น แต่ผิวพรรณจะแลดูสุขภาพดี ดูสดใส เปล่งปลั่งขึ้นด้วย
2. ร่างกายขาดธาตุเหล็ก
ความรู้สึกขี้เกียจ โมโหง่าย อ่อนแอ ป่วยง่าย และมีอาการไม่มีสมาธิที่จะโฟกัสอะไรได้เป็นเวลานานๆ ร่วมตามไปด้วย เนื่องจากออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ ไม่เพียงพอ
แนวทางการแก้ไขปัญหา : ควรบริโภคธาตุเหล็กอย่างน้อย 1 ใน 4 ของอาหารที่คุณทานต่อวัน ธาตุเหล็กนั้นมักพบอยู่ในอาหารจำพวก เนื้อ (ไม่ติดมัน), ไข่แดง, ผลิตภัณฑ์จากธัญพืช, ข้าวโอ๊ต, หน่อไม้ฝรั่ง, ถั่วฝักยาว, ผักแว่น, เห็ดฟาง, พริกหวาน, ใบแมงลัก, ใบกะเพราะ, ถั่วขนาดเล็ก, เต้าหู้, ไข่ไก่, ผักที่เต็มไปด้วยใบสีเขียวเข้ม, ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ และเนยถั่ว เป็นต้น
3. ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า
อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะเป็นพลังงานอาหารสมองและเพิ่มกำลังในการทำกิจกรรมตลอดทั้งวัน การไม่กินอาหารเช้าจึงเป็นสาเหตุให้อ่อนล้าและยังเป็นสาเหตุให้หิวทั้งวันแม้จะกินในมื้อต่อไป ทั้งยังเป็นสาเหตุทำให้หิวจุบจิบ ซึ่งนั่นจะทำให้อ้วนได้ง่ายๆ เลยทีเดียว
แนวทางการแก้ไขปัญหา : มื้อเช้าห้ามอด และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ เน้นทานโปรตีนและแคลเซียม และไม่ลืมทานผักและผลไม้ด้วยนะคะ
4. นอนไม่พอ
เพราะการนอนหลับเป็นช่วงเวลาการพักผ่อนที่ดีที่สุด ทั้งสมองและร่างกาย ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายจากกิจกรรมทั้งวันอันเหน็ดเหนื่อย ให้พร้อมรับมือกับกิจกรรมต่างๆ ในวันต่อมา การนอนไม่พอก็เท่ากับร่างกายไม่ได้พักผ่อน ฟื้นฟูและซ่อมบำรุงตนเองอย่างดีพอ จึงเป็นสาเหตุให้สภาพร่างกายและสมองไม่พร้อมทำงาน รู้สึกล้าตลอดเวลา
แนวทางการแก้ไขปัญหา : แบ่งเวลาจากการทำงานมาชาร์ตพลังงานให้กับร่างกาย โดยจำไว้เสมอว่าต้องนอนในแต่ละคืนอย่างเพียงพอ 6-8 ชม. โดยควรเข้านอนก่อน 22.00 น. และตื่นในช่วงเช้า
5. เพิ่มความสดชื่นแจ่มใสให้กับชีวิต
บรรยากาศเดิมๆ งานเดิมๆ และปัญหาเดิมๆ มักจะสร้างความน่าเบื่อหน่าย อารมณ์เศร้าหมองให้แก่ชีวิต หากต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ก็มักจะทำให้ร่างกายเบื่อ อ่อนล้า ไม่กระปรี้กระเปร่า
แนวทางการแก้ไขปัญหา : หาวันว่างๆ พักผ่อนร่างกาย คลายสมอง ปล่อยใจและกายให้โล่งบ้าง ออกไปเที่ยวกับที่ๆ ชอบ บรรยากาศดีๆ อยู่กับครอบครัว คนที่รัก ให้สนุกมีความสุขสุดเหวี่ยง แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อ และหยุดคิดเรื่องปวดหัวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หรือถ้างานรัดตัวจริงๆ ก็แบ่งเคลียร์งานวันนั้นให้เสร็จ แล้วกลับมาพักผ่อนต่อที่บ้าน ผ่อนคลายสบายๆ
advertisement
![](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/08-avoid-while-tired-gauging-tired1.jpg)
6. เครื่องแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางลดลงให้ผลเหมือนยาระงับประสาท และส่งผลสะท้อนกลับทำให้อะดรีนาลีนในร่างกายสูบฉีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหลังจากคุณดื่มไปแล้วคุณถึงรู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา
แนวทางการแก้ไขปัญหา : ควรหยุดดื่มแอลกฮอล์ทั้งหมด (ทุกชนิด)
7. การเล่นอุปกรณ์/เทคโนโลยีก่อนนอน
สังเกตได้ว่าการเล่นอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ก่อนนอน จะทำให้เวลาตื่นเช้าขึ้นมาคุณจะรู้สึกเพลียเหมือนนอนได้ไม่เต็มอิ่ม เพราะไฟที่สว่างจ้าออกมาจากหน้าจอแท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ต่างๆ มีผลทำให้นาฬิกาชีวิตและระบบการทำงานในร่างกายทำงานไม่ปกติ ร่างกายไม่สามารถควบคุมฮอร์โมนเมลาโทนินที่ช่วยให้การนอนหลับเป็นปกติและตื่นอย่างเป็นระบบได้ จึงทำให้คุณรู้สึกง่วงและเพลียหลังจากตื่นขึ้นมา
แนวทางการแก้ไขปัญหา : เพื่อให้ได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นเช้าอย่างสดใส กระปรี้กระเปร่า เพียงแค่คุณปิดเทคโนโลยีสื่อสารทั้งหมดก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง ก็ช่วยได้เยอะ
advertisement
![อดอาหาร](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/อดอาหาร.jpg)
8. อดอาหาร จนร่างกายขาดสารอาหาร
คนที่จำกัดการกินอาหารหรือพยายามลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร จะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีปัญหาเรื่องอารมณ์และรู้สึกหงุดหงิดอีกด้วย [ads]
แนวทางการแก้ไขปัญหา : สิ่งที่สำคัญคือ จะต้องกินอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ร่างกายจะเกิดสมดุล กล้ามเนื้อแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดีขึ้น นอกจากนี้ควรกินปริมาณพอดี ไม่มากไปหรือน้อยไป งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอาหารพวกไขมันแปรรูป ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละ 8 แก้ว เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อ่อนเพลียได้เช่นกัน
9. ไม่กินผัก ผลไม้
การไม่กินผักทำให้ร่างกายขาดสารอาหารด้วยเช่นกัน วิตามินที่ดีต่อร่างกายส่วนใหญ่ได้จากผักผลไม้
แนวทางการแก้ไขปัญหา : ควรกินพืชผักให้หลากสี ซึ่งทำได้ง่ายๆ โดยเทียบสีรุ้ง "ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง" หรือสีไฟจราจร "เขียว เหลือง แดง" แถมสีขาวของแสงแดด (ผักผลไม้ที่มีสีออกไปทางขาว เช่น หอม กระเทียม กล้วย ฯลฯ) และพยายามกินให้ได้ 5 สีขึ้นไปทุกวัน
การกินพืชผักหลากสีทำให้ได้สาร คุณค่าพืชผัก หรือพฤกษเคมี (phytonutrients) ซึ่งช่วยป้องกันโรค ต้านการอักเสบ (ธาตุไฟกำเริบ) ล้างพิษ และช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมน
advertisement
![ความเครียด](https://kaijeaw.com/wp-content/uploads/2016/03/ความเครียด.jpg)
10. ความเครียดทุกกรณี
เป็นตัวทำให้อ่อนเพลียหมดแรง ความเครียดนั้น มาจากสาเหตุมากมาย เช่น เป็นผู้ที่มีความไม่สบายใจ ไม่พอใจ ข้องคับใจ โกรธ หรือ โมโห ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือ หลายเรื่อง จะก่อให้เกิดความเครียดในคนผู้นั้นอย่างแน่นอน ความเครียด คือตัวดูดพลัง ที่ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียหมดแรงในแต่ละวันได้
แนวทางการแก้ไขปัญหา : ต้องหาทางปลดปล่อยความเครียดให้หมดไป วิธีการหนึ่งที่ได้ผลมาก คือ ให้หยุดความคิดทั้งปวงสัก 5 – 10 นาที ต่อวัน ให้จิต ปรับทัศนคติและความคิด ไม่จมอยู่กับอดีตที่ผ่านมาหรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงให้อยู่กับปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคตก็ล้วนแล้วแต่มาจากสิ่งที่ทำให้ปัจจุบันทั้งสิ้น การคิดมากกับเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นย่อมบ่อนทอนความสุขในปัจจุบันให้ลดลง
เข้าใจว่าความเหนื่อยล้า อ่อนแอของร่างกาย ไม่เพียงแค่สร้างปัญหาความหงุดหงิดรำคาญกายใจในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคร้าย รวมถึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายใดๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้นหากพบว่าตนมีอาการอ่อนล้า เหนื่อยล้า ควรรีบรักษาให้หาย ง่ายๆ คือการรักษาจากสาเหตุ หมั่นดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ และหากมีอาการเรื้อรังและทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น แนะนำให้รีบพบแพทย์ค่ะ
เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com