โคคลาน..แก้ปวดเมื่อย ช่วยบำรุงโลหิต

     โคคลาน ไม้เถาชนิดหนึ่งที่โดยมากจะพบในป่าทั่วไป ป่าพรุ ป่าโปร่ง และชายป่าดิบชื้นของทุกภาคในไทย พืชชนิดนี้มีสรรพคุณทางยาที่น่าสนใจมากๆ ค่ะ เพราะถูกนำเข้าตำรับยารักษาโรคมะเร็งขนานหนึ่ง อีกทั้งสารสกัดจากรากและลำต้นยังมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบและช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งด้วยการไปจับอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง อีกทั้งมีการศึกษาสารสกัดจากส่วนของเปลือกต้นโดยเปรียบกับยาต้านมะเร็ง Antimitotic ก็พบได้ว่าสารสกัดโคคลานไม่มีพิษต่อเซลล์และสามารถช่วยยับยั้งการเคลื่อนที่ของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดี ข้อสนับสนุนทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าโคคลานออกฤทธิ์ต้านการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี ดังนั้นวันนี้ Kaijeaw.com จึงชวนให้คุณได้มาทำความรู้จักกับพืชชนิดนี้ให้มากขึ้นกันค่ะ

advertisement

http://www.phargarden.com/userfiles/image/images/ph219_Koklan/ph219_005.JPG

     โคคลาน มีชื่ออื่นๆ เรียกตามท้องถิ่นว่า มะปอบเครือ (เหนือ), กุระเปี้ยะ (ปัตตานี),โพคาน (ชัยนาท), แนวน้ำ (ประจวบคีรีขันธ์), เยี่ยวแมว (ใต้), เยี่ยวแมวเถา (นราธิวาส), มะกายเครือ เป็นต้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mallotus repandus (Willd.) Muell. Arg. จัดอยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae

[ads][fb1]

advertisement

http://www.phargarden.com/userfiles/image/images/ph219_Koklan/ph219_002.jpg

advertisement

http://www.flowersofindia.net/catalog/slides/Fish%20Berry.jpg

     ลักษณะของโคคลาน เป็นพืชพรรณไม้เถาโดยเถามีลักษณะกลมและมีขนาดใหญ่เท่าขาของคนหรือมีขนาดใหญ่เท่ากับต้นหมาก ลำต้นเป็นเนื้อไม้แข็ง ส่วนเถานั้นจะยาวและเลื้อยพันขึ้นไปตามต้นไม้หรือเลื้อยไปตามพื้นดิน ส่วนเถาอ่อนหรือกิ่งของเถาอ่อนจะมีหนาม เปลือกเถาเรียบเป็นสีดำแดงคร่ำและจะแตกเป็นร่องระแหง ใบเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่วหรือรูปหัวใจ โคนใบโค้งมนตัดหรือเว้าเล็กน้อย ส่วนปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นหยักตื้นหรือเรียบ ส่วนแผ่นใบเรียบเป็นสีเขียวเข้ม ใบมีขนาดยาวประมาณ 7-10 เซนติเมตร ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 2.4-7 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อตามบริเวณซอกใบ ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ผลเมื่อแก่เต็มที่จะเป็นสีแดง เมล็ดโคคลานมีลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว และเมล็ดจะมีรสขมมาก

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์เป็นยาสมุนไพร : ราก, เถา, เปลือกเถา, ผล และ เมล็ด

advertisement

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/f9/Cocculus_trilobus_2.JPG

สรรพคุณทางสมุนไพรของโคคลาน
    ราก – บำรุงโลหิตแก้อาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว แก้เส้นตึง
    เถา – แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ครั่นตัว เส้นตึง แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงโลหิต แก้พิษภายใน แก้โรคมะเร็ง
    เปลือกเถา – ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดพิษต่อตับ ต้านการเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ
    ผล – บำบัดโรคผิวหนัง อาการคันที่เกิดขึ้นตามคอและหนังศีรษะ
    เมล็ด – รสขมมากใช้เป็นยาเบื่อปลาได้

[yengo][fb2]

advertisement

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/c0/Anamirta_cocculus_001.JPG

advertisement

https://lh3.googleusercontent.com/-015cGQXwTWY/VP2MSaSwjxI/AAAAAAAAlbo/2FJJAFR8CZU/s800/P1410890.JPG

วิธีการใช้โคคลานเป็นยาสมุนไพร
    – นำรากมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน บำรุงโลหิตแก้อาการปวดเมื่อย ปวดหลัง ปวดเอว แก้เส้นตึง 
    – เถา รสขมเบื่อเย็น นำมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ครั่นตัว เส้นตึง แก้ปวดหลังปวดเอว แก้กระษัย ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ บำรุงโลหิต แก้พิษภายใน แก้โรคมะเร็ง
    – นำเปลือกเถามาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน ลดการอักเสบ และป้องกันการเกิดพิษต่อตับ ต้านการเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ 
    – นำผลมาตำ ใช้บำบัดโรคผิวหนัง อาการคันที่เกิดขึ้นตามคอและหนังศีรษะ นำผลมาตำแล้วใช้ทาบริเวณศรีษะ หรือ ผิวหนัง 
    – ยาเบื่อปลา นำเมล็ดที่มีรสขมทำเป็นยาเบื่อปลา
    – เถาโคคลาน ใช้เข้ายาแก้โรคมะเร็ง 
    – น้ำต้มของยา มีฤทธิ์แก้อาการปวด และช่วยต้านการอักเสบ โดยในตำรับยาประกอบไปด้วย เถาโคคลาน 2 ส่วน โด่ไม่รู้ล้ม ทองพันชั่ง และมะตูม อย่างละ 1 ส่วน ใช้เตรียมเป็นยาต้มหรือทำเป็นยาเม็ด รับประทาน

     ตามตำรายาพื้นบ้านอีสานใช้ ลำต้น จำนวน 100 กรัม ผสมทั้งต้นทองพันชั่ง และโด่ไม่รู้ล้มทั้งต้น ชนิดละหนึ่งหยิบมือ ต้มน้ำดื่ม แก้ปวดเมื่อย

     ตำรายาพื้นบ้าน อ.กุดชุม จ.ยโสธร ชื่อยาตำรับ “ยาโคคลาน” ประกอบด้วย เถาโคคลาน 2 ส่วน ทองพันชั่ง โด่ไม่รู้ล้ม และมะตูม อย่างละ 1 ส่วน เตรียมเป็นยาต้มหรือยาเม็ด แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย และปวดกระดูก

     พืชพรรณไม้บางชนิดที่มีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพรนั้น มีความสำคัณมากเลยทีเดียวนะคะ เราไม่ควรมองข้ามเป็นอันขาด แต่หากต้องการใช้ยาสมุนไพรโคคลานล่ะก็ ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้รู้ และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีค่ะ

เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com