ตากแดดไม่ใช่แค่ดำนะ..แถมฟรีคือโรคผิวหนัง!!

     เราทราบกันดีว่า “แสงแดด” นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์เรามากมาย ไม่ว่าจะให้ความอบอุ่น ทำลายความอับชื้นและเชื้อโรคบางชนิด ที่สำคัญ คือเป็นแหล่งของวิตามินดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ซึ่งในการผลิตวิตามินดีนี้ร่างกายไม่จำเป็น ต้องใช้แสงแดดมาก เพียงแค่ให้แสงแดด ส่องบริเวณใบหน้า แขน ขา เป็นเวลา 10-15 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ตลอดทั้งปีก็เพียงพอแล้ว แต่ที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือแสงแดดชนิดที่รุนแรง และการที่ต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดรุนแรงนั้นเป็นเวลานานๆ ส่งผลเสียได้ไม่ใช่เพียงผิวคล้ำเสีย แต่ยังก่อให้เกิดโรคผิวหนังได้ อย่างไรนั้น ตาม Kaijeaw.com มาดูกันเลยค่ะ

โรคผิวหนังในช่วงฤดูร้อนที่พบบ่อย ได้แก่ 
     1. ผดผื่น เนื่องจากอากาศร้อนจะทำให้เหงื่อออกมาก เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน โดยเฉพาะผู้ทีตากแดดนานๆ สัมผัสอากาศร้อนๆ โดยตรง อาการคือจะเกิดผดเม็ดเล็กๆ แดงๆ หรือเป็นเม็ดใสๆ พบมากในเด็กเล็กโดยที่ผดมักขึ้นรอบๆ คอ หน้าผาก ส่วนผู้ใหญ่มักเป็นที่คอ เนื่องจากใส่เสื้อคอปิด ใส่สร้อย จะทำให้อับเหงื่อจนเกิดอาการคัน
     2. ผิวไหม้จากแสงแดด เป็นหนึ่งในปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ออกไปตากแสงแดดแรงๆ ในช่วงเวลาที่แสงแดดรุนแรง โดยเฉพาะเวลาเที่ยงและบ่าย เป็นระยะเวลานานๆ โดยที่ไม่ได้ทำการป้องกันผิวโดยการทาครีมกันแดด หรือปกป้องผิวจากเสื้อผ้าแขนยาว ร่ม หรือการสวมหมวก จนทำให้เกิดอาการไหม้แดดขึ้นบนผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวขาว ผิวจะบางกว่าคนที่มีผิวสีคล้ำ และก็จะมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ [ads]
     3. กลาก มักพบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ มีอาการคัน หากมีเชื้อราเข้ามาร่วมด้วย ผื่นจะขยายเป็นวง มีขอบเขตชัดเจน มีขุย และมีอาการคันมาก ส่วนใหญ่ก็จะใช้ยาทารักษากลากรักษาเกลื้อน หากเป็นมากก็ใช้ยารับประทานสำหรับรักษาเชื้อรา
     4. เกลื้อน ลักษณะเป็นวงขาวๆ วงแดงๆ หรือวงดำๆ ซึ่งมักเกิดกับผู้เล่นกีฬาที่มีเหงื่อออกมากแล้วไม่ได้อาบน้ำทันที ปล่อยให้ความชื้นหมักหมมมีเหงื่อขังจะเกิดเชื้อราขึ้น มักเกิดบริเวณหลัง หน้าอก ท้อง และในบริเวณร่มผ้า พบมากในผู้ที่ใส่เครื่องแบบ ใส่เสื้อผ้ารัดมากๆ หรือต้องใส่เสื้อสองชั้นจะเกิดเกลื้อน ได้ง่าย
     5. ภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ในหน้าร้อนถ้าเหงื่อออกมากจะมีผื่นคันบริเวณคอ ข้อพับ แขน ขา ควรหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อน อับหรือมีฝุ่นละอองมาก เนื่องจากจะทำให้คันมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องประดับที่ทำจากสารนิกเกิล เพราะจะทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดผื่นแพ้ได้
     6. กลิ่นตัว แสงแดดยิ่งรุนแรง อากาศยิ่งร้อนก็ทำให้เหงื่อออกมาก เมื่อเหงื่อออกมากกลิ่นตัวยิ่งแรง บริเวณที่มักขับเหงื่อออกมามากที่สุด คือ ที่อับชื้น ได้แก่ รักแร้ ซอกขา ซอกนิ้วเท้า ข้อพับต่าง ๆ และอวัยวะเพศ แต่ด้วยเป็นจุดอับ เวลาเหงื่อออกจึงระเหยออกไปได้ยาก ทำให้เกิดการหมักหมมเป็นกลิ่นเหม็น กลิ่นตัวของคนจะแรงขึ้น จากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ นอกจากนี้ อาหารบางชนิด เช่น ไขมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ สะตอ กระเทียม หอม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ตลอดจนยาบางชนิด ก็อาจเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน เช่น การใช้ยารักษาสิวทั่วไปที่มีสารเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) ผสมอยู่เป็นประจำ รวมถึงโรคประจำตัวอื่น ๆ ทั้งท้องผูก ตับอักเสบ ไต เบาหวาน พยาธิในระบบทางเดินอาหาร และมะเร็ง ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน

      7. โรคมะเร็งผิวหนัง แสงอัลตราไวโอเลต หรือ UV ที่มาจากดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังและเป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งมะเร็งชนิดนี้พบเพียงร้อยละ 5 ของมะเร็งทั้งหมด พบมากในเพศชายมากกว่าหญิง และกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี โดยที่พบบ่อย มี 3 ชนิด คือ
        1) มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นฐานของหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นตุ่มนูนใส ขอบม้วน อาจมีสีดำหรือแตกเป็นแผล พบบ่อยบริเวณที่ถูกแดด เช่น ใบหน้า ใช้ระยะเวลานานในการแพร่กระจายโรค 
        2) มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า มีสัญลักษณ์นูน แดง ผิวหนังแตกเป็นแผล เลือดออกง่าย พบบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก ขอบใบหู สามารถแพร่กระจายจากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่งได้ เติบโตและขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วและลึกกว่ามะเร็งผิวหนังชนิดแรก 
       3) มะเร็งที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี มีลักษณะคล้ายไฝหรือขี้แมลงวันหรือเป็นจุดดำบนผิวหนัง ไฝบนฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใต้เล็บ มีโอกาสเป็นมากกว่าที่อื่นๆ สัญญาณอันตรายของมะเร็งผิวหนังชนิดนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงของผิว ไฝ ขี้แมลงวัน เช่น มีการตกสะเก็ด ลอก หรือมีอาการปวด มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลเยิ้ม มีตุ่มนูนเกิดขึ้นข้างๆ มีการแพร่กระจายของเม็ดสีไปรอบๆ ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของไฝหรือขี้แมลงวัน หากพบว่าผิดปกติให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษา [yengo]

สำหรับการปฎิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดโรคผิวหนังที่เกิดจากแสแดด คือ 
    1) หลีกเลี่ยงจากแสงแดดในช่วงที่มีรังสีอัลตราไวโอเลตมากๆ คือ เวลาประมาณ 10.00 – 15.00 น. 
    2) หากมีความจำเป็นต้องถูกแดด ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขนยาวคอปิด กางร่ม ใส่หมวกปีกกว้าง ใส่แว่นกันแดด 
    3) ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าวันที่มีเมฆหมอก ฝนตกหรือหน้าหนาว จะไม่มีแสงแดดมาทำอันตรายผิวของเรา แต่ความจริงแล้ว หากยังมีแสงสว่างเพียงพอที่จะมองเห็นหรืออ่านหนังสือได้ แสง UV ก็สามารถส่องผ่านมายังผิวหนังได้เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ผิวไหม้มากกว่าปกติ 
    4) ควรงดรับประทานยาที่มีส่วนผสมของสารหนู ทั้งยาจีน ยาไทย เมื่อรับประทานนานๆ จะทำให้เป็นโรคผิวหนังและกลายเป็นมะเร็งผิวหนังในที่สุด
    5) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผัก และผลไม้จะช่วยป้องกันอันตรายของแสงแดดที่มาทำร้ายผิวได้ ได้ เช่น มะเขือเทศ ที่มีสารไลโคปิน แครอทที่มีสารเบต้าแคโรทีนและกรดโฟลิก จะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ 
    6) การดื่มน้ำเปล่าอย่างสม่ำเสมอวันละ 8 แก้ว จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังทำงานได้ปกติ ลดการสูญเสียน้ำในร่างกายในช่วงหน้าร้อน ทำให้ผิวชุ่มชื่นและมีสุขภาพที่ดีได้
    7) ถ้าอยู่ในที่ร่มไม่ควรใส่เสื้อผ้าหนาและรัดเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอับชื้นเหงื่อ เกิดผดผื่นคันได้ ในหน้าร้อนควรสระผมบ่อยๆ เนื่องจากศีรษะที่อับชื้นเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อราที่ศีรษะได้
    8) หากต้องใส่รองเท้าที่ปกปิดมิดชิด ควรถอดออกบ้างเมื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หากเท้ามีเหงื่อออกมากให้หายาระงับไม่ให้เหงื่อออกมากเกินไป หรือโรยแป้งไว้ระหว่างนิ้วเท้าเพื่อขับเหงื่อ ควรเปลี่ยนรองเท้าบ่อยๆ และนำไปผึ่งตากแดดเพื่อดับกลิ่นและฆ่าเชื้อโรค 
    9) ผู้ที่แพ้โลหะไม่ควรใส่เครื่องประดับที่ทำจากนิกเกิล เพราะเมื่อเหงื่อออกจะทำให้นิกเกิลละลายออกมา ทำปฏิกิริยากับผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบหรือเกิดผื่นแพ้ หากมีเหงื่อออกมากควรอาบน้ำหรือใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด

     เพราะแสงแดดนับวันจะรุนแรงเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะฤดูร้อนของบ้านเรานะคะ แสงแดดร้อนแรงเป็นอันตราย แม้ว่าเราจะอยู่ในร่ม แสงแดดก็ทำให้เกิดความร้อน สาเหตุของโรคผิวหนังต่างๆ ได้ ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น เราควรหมั่นดูแลรักษาตนเองจากโรคผิวหนังในหน้าร้อน หลีกเลี่ยงแสงแดดอันรุนแรง และรักษาความสะอาด ไร้ความอับชื้นของร่างกาย อยู่เสมอด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ

เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com