7 พฤติกรรม.. ที่ทำให้น้ำหนักขึ้นแบบไม่รู้ตัว!!
advertisement
เชื่อว่าทุกคนนั้น อยากจะมีรูปร่างที่ผอมเพรียวดูสวยงาม พร้อมทั้งสุขภาพดีในคราวเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ผลที่ดีเลย นั่นก็เป็นเพราะว่าเรายังคงทำพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเป็นการเพิ่มน้ำหนักโดยไม่รู้ตัว วันนี้ ไข่เจียว .com ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมแย่ต่างๆที่ทำให้คุณอ้วนมาบอกกัน ซึ่งถ้าสามารถเลิกพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ได้ คุณก็สามารถควบคุมน้ำหนักและมีสุขภาพที่ดีได้อย่างแน่นอนค่ะ
advertisement
1. ไม่กินมื้อเช้า
สาวๆ หลายคนมักเลือกการอดข้าวเพื่อให้น้ำหนักลดลงแต่รู้หรือเปล่าคะว่ามันเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ใน 3 มื้ออาหารนี้ มื้อเช้าถือว่าสำคัญที่สุด คนไม่ทานอาหารเช้ามีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนมากกว่าคนทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะการไม่ทานอาหารเช้าจะทำให้ระบบเผาผลาญเริ่มต้นช้าลง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ร่างกายจึงรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลาเมื่อเป็นแบบนี้เราก็ยิ่งทานมากขึ้นในมื้อต่อไป อาหารยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ ส่งผลต่อสติปัญญา เพราะอาหารเช้าจะช่วยเติมพลังสมองที่เกี่ยวข้องกับความจำ การเรียนรู้ ความกระตือรือร้นทำให้ทำกิจกรรมในแต่ละวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การรับประทานอาหารเช้ายังช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคนิ่ว โรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้ด้วยค่ะ
2. ละเลยการออกกำลังกาย
อาหารที่เราทานเข้าไปในแต่ละวัน เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เราอ้วนแบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการรับประทานของหวาน ของทอด อาหารที่มีแคลอรี่สูงๆ เกินความจำเป็นของร่างกาย การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกาย เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้นจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น จะช่วยควบคุมความอยากอาหารและทำให้ความหิวน้อยลง สาวๆหลายคนอาจไม่ชอบการออกกำลังกาย แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันให้เร็วขึ้น เช่นเดินเร็วๆ ลุกนั่งบ่อยๆ ออกกำลังกายที่สนุกๆเช่น เต้นแอโรบิก เล่นโยคะ หรือ ปลูกต้นไม้รดน้ำต้นไม้ ทำงานบ้านก็สามารถช่วยลดแคลอรี่ได้เช่นกัน
[ads]
advertisement
3. กินไม่คำนึงแคลอรี่
การรับประทานอาหารของคนเรา บางครั้งเราเลือกทานแต่อาหารที่เราชอบ ที่มีรสชาติอร่อย ที่หอม หวาน แต่เรามักจะลืมคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่เรากินเข้าไปในร่างกาย สำหรับร่างกายคนเรานั้น ต้องการปริมาณแคลอรี่ประมาณ 1,500 – 2,000 แคลอรี่เท่านั้น ชายต้องการแคลอรี่ประมาณ 2,000 แคลอรี่ หญิงต้องการแคลอรี่ประมาณ 1,500 แคลอรี่ การที่เราเลือกทานแต่อาหารที่เราชอบมักจะทำให้เราได้รับแคลอรี่ที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ จึงทำให้เกิดการสะสมไขมัน แป้งตามร่างกาย หรือที่เราเรียกว่าส่วนเกินในร่างกาย เช่นพุง ต้นแขน ต้นขา ก้น นั้นเอง
ตัวอย่างปริมาณแคลอรี่ในอาหารต่ออาหาร 100 กรัม
– ข้าวจ้าวสุข 140 แคลอรี่
– ข้าวเหนียวสุก 230 แคลอรี่
– เส้นก๋วยเตี๋ยว 88 แคลอรี่
– ขนมปัง 328 แคลอรี่
– วุ้นเส้น 72 แคลอรี่
– น้ำมันพืช-น้ำมันถั่วเหลือง 884 แคลอรี่
– น้ำมันหมู 902 แคลอรี่
– เนย 729 แคลอรี่
– เนื้อไก่ 302 แคลอรี่
– เนื้อวัวไม่ติดมัน 187 แคลอรี่
– ไข่ไก่ 160 แคลอรี่
– เนื้อหมูไม่ติดมัน 376 แคลอรี่
– มะเขือเทศ 22 แคลอรี่
– แครอท 37 แคลอรี่
– แตงกวา 12 แคลอรี่
– ผักกวางตุ้ง 8 แคลอรี่
– กล้วยไข่ 145 แคลอรี่
– ทุเรียน 156 แคลลอรี่
– เงาะ 62 แคลอรี่
– ชมพู่ 30 แคลอรี่
– แตงไทย 16 แคลอรี่
– มะม่วงดิบ 86 แคลอรี่
– มะละกอสุก 45 แคลอรี่
– ส้มเขียวหวาน 44 แคลอรี่
– แอปเปิ้ล 58 แคลอรี่
4. ดื่มน้ำน้อย
คนเราควรดื่มน้ำวันละ 1.5-2.0 ลิตร ปริมาณขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย กิจกรรม อากาศ สถานที่ ฯลฯ ยิ่งออกกำลังกายมาก เสียเหงื่อมาก อากาศแห้ง ฯลฯ ยิ่งต้องดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำทำหน้าที่ช่วยย่อย ลำเลียงและขับของเสีย อาการปากแตกคือสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าร่างกายคุณกำลังขาดน้ำ เมื่อร่างกายขาดน้ำ ไต (มีหน้าที่ขับของเสีย) จะทำงานหนักจนเหนื่อย เดือดร้อนไปถึงตับ ซึ่งปกติจะทำหน้าที่เร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย ต้องมาทำหน้าที่แทนไต ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้น้อยลง
ควรระวังในการดื่มน้ำคำ ข้าวคำ กระเพาะจะทำงานหนัก เพราะน้ำที่ดื่มเข้าไปจะไปเจือจางน้ำย่อย อาหารไม่ย่อยอีก
หลักการดื่มน้ำให้ดีต่อสุขภาพควรจิบตลอดวัน และให้เริ่มจากการดื่มน้ำตอนตื่นนอน 1-2 แก้ว จะช่วยให้สบายลำไส้ และพยายามดื่มน้ำเปล่า เพราะไม่ว่าจะชานมไข่มุก น้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้บรรจุกล่อง ต่างก็อุดมไปด้วยน้ำตาลทั้งสิ้น (ไม่เชื่อลองอ่านฉลากดู)
advertisement
5. นอนดึก นอนน้อย
การนอนดึกจะทำให้หิวและกินมากขึ้น และยังทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง การหลั่งฮอร์โมนรวน (เช่น เกรลิน ฮอร์โมนกระตุ้นความหิว, เล็ปติน ฮอร์โมนกดความหิว/เพิ่มอัตราการเผาผลาญ, โกรธ์ฮอร์โมน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ/ทำให้หน้าเด้ง และอีกมากมาย) ทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันลดลง
ข้อแนะนำคือ
– พยายามเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
– ทำบรรยากาศห้องนอนให้น่านอน
– นอนคืนละ 7-8 ชม.
– งดอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชม. การเข้านอนตอนอิ่มจัดจะทำให้อาหารไม่ย่อย นอนหลับไม่สนิท เพราะร่างกายต้องพยายามย่อยทั้ง ๆ ที่อยากจะพัก
– ไม่เปิดและวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ไว้ใกล้ตัวเวลานอน เพราะคลื่นแม่เหล็กจะกวนคลื่นสมอง ทำให้หลับไม่สนิทo]
6. หายใจสั้น
คนส่วนใหญ่หายใจไม่ถูกวิธี เพราะไลฟ์สไตล์อันเร่งรีบในปัจจุบันทำให้เราหายใจสั้น หรือกลั้นหายใจบ่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะทำให้ร่างกายทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ การหายใจที่ถูกต้องจะไปช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด ให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ออกซิเจนยังเป็นองค์ประกอบหลักในกระบวนการย่อยอาหาร และกระบวนการอื่น ๆ ทั้งหมดเชื่อมโยงกับสมองและระบบประสาท ทำให้คิดได้เร็วขึ้น ปลอดโปร่ง เมื่อกล้ามเนื้อทำงานหนัก และขาดออกซิเจนและน้ำ ก็จะทำให้เป็นตะคริว โยคะเป็นศาสตร์หนึ่งช่วยให้หายใจได้ถูกต้อง
[yengo]
advertisement
7. ติดของหวานหลังมื้อหลัก
หลายท่านคงจะเคยชินกับการรับประทานของหวานหรือน้ำหวานหลังมื้อหลักคือถือเป็นของหวานล้างปาก หรือดื่มน้ำอัดลมหลังมื้ออาหารแทนน้ำเปล่า จริง ๆ เป็นการเพิ่มจำนวนแคลอรี่โดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็ก ๆ ระหว่างมื้อเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะจะทำให้เรากินน้อยลงในแต่ละมื้อ แต่คุณต้องเลือกอาหารอย่างมีสติ เช่น ผลไม้ ขนมปังกรอบ หรือคุ๊กกี้ชิ้นเล็ก ๆ ยังพอให้อภัย แต่ถ้าการ “หาอะไรรองท้อง” ของคุณคือการกินชานมไข่มุกแก้วใหญ่ที่สุด (พลังงานเท่ากับข้าวราดแกงจานใหญ่ ๆ หนึ่งจาน) หรือขนมกล้วยทอดทั้งถุง ก็ขอให้หยุดค่ะ ทางที่ดีคือพยายามกินให้จบในแต่ละมื้อ ร่างกายจะได้เรียนรู้ให้ปล่อยน้ำย่อยออกมาเป็นเวลา ไม่ต้องปล่อยออกมาตลอดทั้งวัน ซึ่งก็จะกระตุ้นให้หิวบ่อยตามไปด้วย
ความอ้วนไม่ได้มาจากการกินอาหารมื้อหลักอย่างเดียวนะคะ การใช้ชีวิตในแต่ละวันก็มีส่วนสำคัญ ไม่น้อยกว่ากันเลย ไม่ว่าเราจะกินอะไรเข้าไปก็มาพร้อมกับแคลอรี่ ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็จำเป็นต้องใช้แคลอรี่ จะมากหรือน้อยก้ตามแต่อาหารที่เราเลือกทานและกิจกรรมที่เราทำ ถึงเวลาที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนนิสัยการกินและกิจกรรมในแต่ละวันได้แล้ว เพื่อรูปร่างที่ได้สัดส่วนดูสวยงามและสุขภาพที่ดีนะคะ
เรียบเรียงข้อมูลโดย : kaijeaw.com