เย็นชื่นใจกับอาหารคลายร้อน
advertisement
เมื่อกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนประจำปีอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือน มีนาคมที่ผ่านมานั้น ความร้อนของแสงอาทิตย์ก็แผดเผาไม่ใช่เล่น และยิ่งมีพยากรณ์อากาศว่า จะย่ำเข้าสู่ 42 องศาในเดือนเมษายน ก็ทำเอาต้องรับมือกับอากาศร้อนไปตามๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการหาของกินดับร้อน เมนูอาหารดับร้อน ฯลฯ
advertisement
มีคำแนะนำจาก อ.ชินริณี วีระวุฒิวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม วิทยาการของศูนย์เรียนรู้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เรื่องเมนูอาหารคาว และอาหารหวานที่เหมาะสำหรับฤดูร้อนนี้[ads]
ธาตุไฟ ต้องรับมือกับอากาศร้อน
อ.ชินริณี เล่าว่า ผู้ที่เกิด ราศีเมษ ระหว่างวันที่ 16 เม.ย. – 13 พ.ค. / ราศีสิงห์ ระหว่างวันที่ 17 ส.ค. – 16 ก.ย. และราศีธนู ระหว่างวันที่ 16 ธ.ค. – 13 ม.ค. รวมถึงผู้ที่อายุระหว่าง 16-32 ปี ซึ่งนับอยู่ใน “ธาตุไฟ” โดยอุปนิสัยของคนธาตุไฟ เป็นคนใจร้อน วู่วาม เป็นหลัก และมักจะมีปัญหาด้านสุขภาพคือ ร้อนในง่าย มีแผลในช่องปาก เครียด ผิวหนังแพ้ง่าย โรคกระเพาะอาหาร
advertisement
“เมื่อเจอกับอากาศร้อนในหน้าร้อนแบบนี้ คนธาตุไฟยิ่งต้องระวังเรื่องอาหารการกินมากเลยทีเดียว เพราะมีโอกาสเจ็บป่วยเรื่อง ร้อนใน แผลในช่องปาก เป็นไข้ กระเพาะอาหาร และสิวขึ้น เพราะฉะนั้นอาหารทั้งคาวหวาน ควรเน้นที่ รส “ขม เย็น และจืด” รวมไปถึงงดของทอดด้วย เพราะของทอดนั้นจะทำให้ธาตุไฟพุ่งและร่างกายเป็นไข้ เกิดการอักเสบ”
ฤดูร้อนนี้ กินอะไรดี?
ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ยังแนะนำเมนูคาวและหวาน สำหรับคนทุกธาตุ และยิ่งดีต่อคนธาตุไฟ ไว้ ดังนี้
advertisement
อาหารคาว
1.แกงจืดมะระ กระดูกหมู
2.แกงจืดฟัก
3.แกงจืดหัวไช้เท้า กระดูกหมู
4.แกงจืดตำลึง
5.แกงส้มใส่ใบย่านาง
6.ผัดผักบุ้ง
7.ผัดผักกาดขาว
8.ผัดบวบใส่ไข่
9.ผักพื้นบ้าน จิ้มน้ำพริก ฯลฯ
อ.ชินริณี บอกว่า เมนูที่ยกตัวอย่างนั้นเป็นอาหารฤทธิ์เย็น ที่ดีต่อร่างกายในอากาศหน้าร้อนแบบนี้ และอย่ากินอาหารเผ็ดร้อน จะยิ่งทำให้ร่างกายเราร้อนขึ้นไปอีก
advertisement
อาหารหวาน
1.ถั่วเขียวต้มน้ำตาล (หวานน้อย)
2.เต้าส่วน (หวานน้อย)
3.หยกมณี
4.ลูกตาลลอยแก้ว
5.สละลอยแก้ว
6.แตงไทยน้ำกะทิ (หวานน้อย)
7.ข้าวแช่ ลอยน้ำดอกมะลิ ฯลฯ
advertisement
ผลไม้
1.แตงโม
2.แก้วมังกร
3.มะพร้าว
4.แคนตาลูป
5.กล้วยน้ำว้า
6.ส้ม
7.ชมพู่ ฯลฯ
นอกจากเรื่องอาหารแล้ว อ.ชินริณี แนะนำต่ออีกว่า ให้กินน้ำในความเย็นที่อุณหภูมิห้อง เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนเลือดไปหล่อเลี้ยงตามเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้หลอดเลือดขยาย และ ให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดี[ads]
ย้ำกันอีกสักนิดว่า ยังต้องเลือกกินอาหารที่รสไม่จัด ลดรสชาติหวาน มัน เค็มลง และเน้นการกินผักผลไม้ให้ได้วันละ 400 กรัม จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : thaihealth.or.th, arphawan sopontammarak, อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์