“ท่านมุ้ย” เล่าถึงคำสอนของในหลวง หลังติดตามเสด็จนานกว่า 1 ปี
advertisement
ประชาชนคนไทยทุกคนจะทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศฯ ท่านทรงงานหนักมาเพื่อปวงประชานานเหลือเกิน ซึ่งคนไทยทุกคนก็ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อยู่เสมอ แต่สำหรับคนที่ได้ตามเสด็จใกล้ชิด คนที่ได้ถวายงานแด่พระองค์ คงมีความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพราะทุกคนมักจะได้รับคำสอนลึกซึ้งจากพระองค์อยู่เสมอ วันนี้ไข่เจียวจะพาไปดูเรื่องเล่าจาก "ท่านมุ้ย" ผู้มีโอกาสตามเสด็จในหลวงนานถึง 1 ปีเต็ม
ผมเป็นข้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาตลอดชีวิต ครั้งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านมากที่สุดคือตอนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องศูนย์รวมแห่งดวงใจ (Center ofNation) ซึ่งผมตามเสด็จพระองค์ท่าน 1 ปีเต็ม ๆ
[ads]
บางครั้งทรงขับรถไปเยี่ยมราษฎรด้วยพระองค์เอง โดยผมนั่งอยู่ด้านหลังเพื่อใช้กล้องบันทึกภาพไปด้วย บางครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขา ผมจะเดินนำหน้าห่างจากพระองค์ประมาณสัก 1 วา เวลาหกล้มไปพระองค์ก็ทรงฉุดให้ลุกขึ้น ตอนนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 60 พรรษาแล้วนะ ส่วนผมก็ 50 กว่าเห็นจะได้ พระองค์ท่านจึงตรัสว่า “ทำไมถึงสู้แรงเราไม่ได้” (หัวเราะ) นั่นเป็นครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมาก
มีอีกครั้งหนึ่งที่ผมไม่เคยลืมคือตอนที่พระเจ้าอยู่หัวทรงขับรถเข้าไปในสลัมแถวคลองรังสิต พอไปถึงพระองค์ก็ทรงก้าวพรวดลงจากรถประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่นต่างตกอกตกใจเป็นการใหญ่ว่าในหลวงเสด็จฯ จึงรีบเปิดไฟกันพรึบพรับ ครั้งนั้นเสด็จฯไปทอดพระเนตรน้ำในคลอง แล้วตรัสถามประชาชนว่าน้ำที่เห็นอยู่นี้นำไปใช้อะไรบ้าง เขาก็บอกว่าใช้ทั้งกินทั้งอาบ แต่พระองค์ทรงให้ความรู้ว่าน้ำนี้กินไม่ได้นะ เป็นอันตราย หลังจากนั้นจึงเกิดโครงการเอาน้ำดีมาไล่น้ำเสีย เรื่องเกี่ยวกับน้ำที่ผมทำงานถวายพระองค์ท่านมานานหลายปีแล้ว โดยออกไปสำรวจคูคลองต่างๆ ในกรุงเทพฯแล้วถ่ายภาพมาถวายให้ทอดพระเนตรเพื่อที่จะได้ทรงวางแนวทางแก้ไข ไม่ต้องให้ประชาชนต้องประสบกับอุทกภัย
ผมอาสาทำงานถวายพระองค์ท่านเพราะผมเรียนมาทางด้านธรณีวิทยา ผมทำงานด้วยใจรักแล้วดีใจที่ได้แบ่งเบาพระราชภาระส่วนหนึ่งเพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักอยู่ตลอดเวลา ภารกิจหลักของพระองค์ท่านคือเรื่องน้ำ ถ้าน้ำท่วมพระองค์ก็ทรงหาทางช่วยบรรเทาทุกข์ถ้าน้ำแห้งพระองค์ท่านก็พระราชทานฝนหลวงแก่ประชาชน ผมเคยถามพระองค์ว่าเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาแล้วจะให้ไปบอกกล่าวกับหน่วยงานใดของรัฐบาลให้เขาช่วยแก้ปัญหา พระองค์ทรงเงียบไปครู่หนึ่งและก็ตรัสด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “ก็ต้องไปบอกโง่ยังไงล่ะ” ตอนแรกผมก็ยังไม่เข้าใจ กระทั่งทรงอธิบายว่าโง่นั้นหมายถึงNGO ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำงานอย่างไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบันนี้ จึงมีองค์กรโง่ในพระบรมราชูปถัมภ์อยู่มากมาย (ยิ้ม)
นอกจากนี้ผมยังทำภาพยนตร์ถวายพระองค์ท่านด้วย ที่ผ่านมาเคยมีเรื่องร่มเกล้า ส่วนตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็สร้างขึ้นตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ด้วยทรงเห็นว่าคนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ จึงอยากให้คนรุ่นหลังได้รู้จักรากเหง้าของเรา ซึ่งผมก็พยายามศึกษาข้อมูลเพื่อทำให้ใกล้เคียงกับประวัติศาสตร์มากที่สุด ถ้าหากจะให้ทำหนังที่ได้แรงบันดาลใจอีกสักเรื่องผมคิดถึงเรื่องข้าวพระราชทาน หรือไม่ก็เรื่องคุณทองแดง
พระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวเรื่องอะไรก็ตามล้วนเป็นของดีทั้งนั้น แต่เรื่องที่ผมคิดว่าคนไทยควรยึดถือเอาไว้ให้มั่นคืออย่าแตกสามัคคีอันนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของประเทศชาติเลย ถ้าถามถึงเรื่องที่ทรงตรัสกับผมโดยตรงแล้วประทับใจก็ต้องบอกว่ามีมากมาย เช่น ทรงสอนว่าจงทำงานให้หนักโดยไม่จำเป็นต้องเอาหน้า ยิ่งไปกว่านั้นคือทรงงานให้เราเห็นเลยพระองค์เสด็จฯเข้าไปในป่าดงซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ก่อการร้ายในสมัยนั้น แม้แต่ทหารยังไม่ค่อยกล้าเข้าไปเลย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมาก นับเป็นบุญของชาวไทยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเสียสละขนาดนี้ แต่คนรุ่นใหม่อาจจะมองไม่เห็น นี่คือที่มาของความแตกสามัคคีที่ทำให้บ้านเมืองเราสับสนวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้
[ads]
เมื่อคนรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นภาพพระองค์ทรงงาน จึงทำให้มีบางส่วนคิดว่าพระองค์มิได้ทรงทำอะไรให้ประชาชนอีก ทั้งในช่วงหลังพระองค์ยังประชวรอยู่ในโรงพยาบาลตลอด หลายคนจึงลืมไปแล้วว่าท่านเคยทำอะไรให้กับประเทศชาติบ้าง ผมจึงอยากให้ทุกคนย้อนกลับไปมองว่าที่ผ่านมาทรงเหนื่อยยากตรากตรำเพื่อคนไทยมากมายแค่ไหน หรือแม้แต่วันนี้ที่ทรงมีสุขภาพพลานามัยไม่แข็งแรงนัก ก็ยังทรงงานอยู่เสมอด้วยการรับสั่งให้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุลช่วยสานต่อให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการทำเพื่อประเทศชาติทั้งสิ้น
ประชาชนชาวไทยทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่ท่านทรงงานเพื่อประชาชนมาตลอด ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย
ขอบคุณที่มาจาก : prachachat.net เรียบเรียงเนื้อหาโดย : kaijeaw.com